
“ผมเกิดมาเพื่อเป็นผู้ให้ ไม่ได้เป็นผู้รับ” คือคำจำกัดความตัวเองของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
หลังจากที่ได้ตัดสินใจ แยกทางกับบิ๊กตู่อย่างสันติแล้ว
ลุงป้อมก็เดินลุยบริหารพรรคอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เข้าตำราถึงแก่ แต่มีกึ๋น พร้อมนโยบาย 7 ข้อที่เน้นการกระจายรายได้ทุกกลุ่ม โดดเด่นเรื่องนโยบายที่สมทบเงิน ทั้ง คนแก่ เด็ก
แม่ตั้งครรภ์ นโยบายแก้จน ลั่นมีพลังประชารัฐคนจนหมดประเทศ ไม่มีแล้ง-มีที่ดินทำกิน พร้อมทั้งอีกหนึ่งไม้เด็ด “อีสานประชารัฐ” สร้างรถไฟทางคู่บึงกาฬ-อีอีซี 480 กม. สร้างนิคมอุตสาหกรรม-อาชีวะ-ท่าเรือบก-ทางหลวงพิเศษ 8 เลน
แต่สิ่งที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดกับการมาลุยทัพของลุงป้อมนั่นก็คือ “สันติ”. เพราะหลังจากที่แยกทางกันเดินแล้ว ก็ไม่มีปัญหาสาดโคลนกันเรียกได้ว่าคอนเฟริมว่า พรรคพลังประชารัฐนั้น มาแนวทางสันติ จริงๆ
แต่ถึงแม้ลุงป้อม เป็นคนเดิน “ช้า” แต่เจ้าตัวย้ำเสมอว่า คิด “เร็ว” และสั่งการทำ
งาน “เร็ว” มีความ“หนักแน่น” ไม่หูเบา และยังไม่มีครอบครัวมาเป็นเงาตามตัวให้รุงรังอีก บอกเลยว่าทำงานได้เต็มที่
นี้คือเบื้องหลังของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้กับ พล.อ. ประวิตร ชายผู้เป็น “ศูนย์กลางของพลังประชารัฐ” และมี 3 สถานะในพรรค ทั้งหัวหน้าพรรค, แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ
ที่มา https://www.bbc.com/thai/articles/crg573d8x41o