หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: สาวบริสุทธิกับสาวไม่บริสุทธิต่างกันยังไง  (อ่าน 106581 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« ตอบ #315 เมื่อ: 30 เม.ย. 09, 10:34 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 
*เสรีภาพแห่งการให้อภัย*

แมลงปอตัวหนึ่ง บินเข้ามาติดในถุงพลาสติค
ที่ฉันเปิดทิ้งไว้ มันบินเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น
เพื่อหาทางออกจากถุง...เพื่อเสรีภาพ
ฉันมองดูมันสักพัก ก็เดินไปเปิดปากถุงให้กว้างขึ้น
และปล่อยมันออกมา...มันบินออกไปอย่างรวดเร็ว
เสรีภาพ...เป็นสิ่งงดงามเสมอ....
เมื่อมองดูมันโบยบินอย่างเบิกบาน...พลันใจฉันก็ได้คิด

ความขมขื่น การไม่ยกโทษเป็นเหมือนกับดักที่ดักจับชีวิต
เพื่อทำลายให้เชลยที่ถูกกักขังไว้ ตรอมตรมใจไปจนวันตาย
การเก็บความเจ็บที่คนอื่นทำให้เกิดแผลในใจเธอไว้นั้น
ก็เป็นเหมือนแมลงปอที่น่าสงสาร...
ที่บินเข้าไปในถุงที่ถูกเปิดไว้โดยไม่รู้ตัว
มันบินไปตามกลิ่นอาหาร ลืมคิดถึงความปลอดภัยของตัวมันเอง
หลายครั้งใช่ไหม? ที่เธอปล่อยให้ความเจ็บเรียกเธอเข้าไป
กลิ่นของมันไม่หอมเหมือนอาหารนั้นหรอก
แต่ความเจ็บปวดจะทำให้เธอไม่ยอมไปไหน..ไกลกว่าที่คุมขัง

เธอบินเข้าไปติดกับดัก เธอหลงไปในข่ายความหายนะ..
กระ***กระสน วนเวียนแต่หาทางออกไม่ได้
เธอร้องเรียกหาคนมาช่วย แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน
เธออ่อนล้าและเธอคร่ำครวญว่า "ให้ฉันตายในนี้เถอะ"..

เพื่อนเอ๋ย...ทางออกนั้น ที่จริงแล้วก็มีอยู่
แต่เพราะเธอว้าวุ่นเกินไป...เธอกระ***กระสนจนไม่ได้ดูให้ดี
ปัญหาทำให้เธอตีโพยตีพาย แล้วสรุปว่า "หาทางออกไม่ได้"
หรือ "ไม่มีใครเคยเป็นเช่นอย่างฉัน"...

เสรีภาพ ความจริงแล้วก็อยู่ไม่ไกล...มันอยู่ใกล้คนใจถ่อม
ความเย่อหยิ่งทำให้เธอกล่าวโทษและถือโทษ
ความจองหองทำให้เธอไม่ยอมรับวิถีของพระเจ้า
พระองค์แนะนำแล้ว แต่เธอไม่ฟัง พระองค์ชี้แนะ แต่เธอดื้อดึง
"เขาทำกับฉันมากเกินไป เกินกว่าที่ควรจะอภัยให้ได้"
เธอร้องต่อพระเจ้าอย่างไม่เข้าใจ..... "ทำไมเล่าพระเจ้าข้า?"
ทำไมพระองค์ไม่รู้ว่าเธอพบเจออะไรมา ทำไมไม่ลงทัณฑ์คนที่ทำร้ายเธอ

เพื่อนเอ๋ย...เธอไม่สามารถหลุดจากห้วงแห่งความทุกข์ได้
ถ้าเธอยังไม่ยอมฟังใคร...ถ้าไม่แม้แต่จะยอมบิน...
การคร่ำครวญต่อไป ทำให้เธอจะยิ่งเจ็บมิใช่หรือ?
การสุมความแค้นโบกพัดมันเข้าไป จะกลับทำให้มันยิ่งลามไปมิใช่หรือ?
ดับไฟแค้นลงเสียเถอะนะเพื่อน...มองดูที่กางเขนนั้น
แล้วเธอจะเข้าใจ ว่าทำไมพระเยซูจึงต้องถูกตรึง....
ในเมื่อพระองค์ปราศจากบาป...ในเมื่อไม่มีผิด
"เขาตรึงพระองค์ทำไม?"....เพื่อเธอไม่ใช่หรือ?
เพื่อเธอจะไม่ต้องพินาศในบึงไฟยังไงเล่า
เพื่อเธอจะไม่ต้องตายนิรันดร์กาลในนรกที่ลุกด้วยไฟกำมะถัน.....
การยกโทษให้คนที่ทำร้ายเราอย่างแสนสาหัสนั้น ไม่ง่ายหรอก..
ฉันเข้าใจและรู้ดี...เพราะฉันเคยผ่านมันมาแล้ว มากมายหลายครั้ง
ฉันเจ็บจนระบม ชอกช้ำจนเหลือจะบรรยาย...
แต่ฉันปล่อยมันไปแล้ว...อภัยให้คนที่ทำร้ายฉัน ไม่ถือโทษเขา
อย่างที่พระเจ้าทรงทำเพื่อฉันแล้วนั้นที่กางเขน

ความเจ็บจะทุเลา...แม้มันไม่เร็ว แต่วันหนึ่งมันจะหายดี
วันนี้เธออาจจะมองยังไม่เห็นว่า "ผลดีคืออะไร"
แต่วันหนึ่งเธอจะรู้ และจะเห็นว่าเสรีภาพที่ดูเหมือนว่าอยู่ไกล....
แต่แท้จริงก็อยู่ใกล้...แค่เอื้อมเท่านั้นเอง...


** ส่วนหนึ่งจากหนังสือ "ยังไม่สิ้นกำลังใจ" เขียนโดย เจิม ซัม
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #316 เมื่อ: 7 พ.ค. 09, 12:22 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

บทความ "หม้อในพระหัตถ์" โดย เจิม ซัม

หม้อในพระหัตถ์

โดย เจิม ซัม


ผม คือหม้อใบหนึ่งที่ท่านผู้หนึ่งได้ซื้อไว้
ท่านให้ราคาผมสูงกว่าที่ผมเป็นผมเป็นหม้อที่ถูกทอด
ทิ้งให้ตากแดดตากฝนมาเป็นเวลานาน ไม่เคยได้รับการดูแลและขัดเกลา
เป็นเพียงหม้อเก่าๆที่
ไม่ควรค่าที่ใครๆจะซื้อไว้ไปใช้การ
เพราะแม้แต่ตัวผมเองก็ยังมองไม่เห็นหนทางในการที่จะทำ
ให้ตนเองสะอาดขึ้นมาได้ ผมกระดำกระด่าง บุบๆเบี้ยวๆไร้รูปทรง
จะเอาหม้ออย่างผมไปใช้
การอะไรคงไม่ได้หรอกกระมัง เพราะแม้แต่จะเอาผมวางไว้บนเตาไฟอย่างดี ผมก็ยังเอียง
กระเท่เร่จะคว่ำมิคว่ำแหล่(หวังว่าผมคงจะไม่พูดหยาบเกินไปนะครับ)



วันที่ผมถูกซื้อไว้นั้น ใครๆเขาก็หัวเราะกันทั้งนั้น เขาคิดยังไงของเขานะ
ถึงได้มาซื้อหม้อ
เก่าๆเอาไปใช้ มิหนำซ้ำ
ยังให้ราคาสูงกว่าหม้อทั่วไปที่เขาขายกันในท้องตลาดอีกแน่ะ...ท่า
จะ... เสียง ผู้คนที่รู้เรื่องของผม ต่างกระซิบกระซาบต่อๆกันไป
ผมล่ะเบื่อ...เสียงนกเสียงกา
แต่ก็ช่างเขาเถอะครับ พวกเขาคงจะอิจฉาผม ที่มีคนมาซื้อผมไปใช้แทนที่จะทำลายทิ้ง ผม
ซาบซึ้งใจจริงๆ ผมพูดไปร้อง ไห้ไป(แม้ว่า
คงไม่มีใครเห็นน้ำตาและได้ยินเสียงพูดของผมก็
ตามเถอะ)

วันแรกที่ท่านเอาผมมาไว้ในบ้าน ผมก็ถูกมอบไว้ให้คนครัว ท่านได้สั่งกำชับคนครัวว่า
จงทำ
ความสะอาดหม้อใบนี้ให้เรา คนครัวได้ยินก็ตอบว่า ขอรับท่าน
และไม่รอช้าที่จะลงมือเอา
ผมไปแช่น้ำสบู่ทิ้งเอาไว้ ผมสำลักน้ำแทบตาย
เพราะไม่เคยมีใครเคยเอาผมไปแช่น้ำทิ้งไว้
อย่างนี้มาก่อน ผมรอคอยว่า เมื่อไรเขาจะมาเอาผมขึ้นไปจากน้ำเสียที
แต่คอยตั้งแต่ตะวันตก
ดินจนตะวันขึ้น ผมก็ยังคงถูกแช่น้ำทิ้งไว้อยู่อย่างนั้น
ผมไม่อยากอยู่ในน้ำนี้อีกแล้ว ช่วยเอา
ผมออกไปเดี๋ยว นี้ได้ไหม? ผมพยายามดิ้นรนช่วยตัวเองอยู่นาน ในที่สุดก็อ่อนแรง และ
ยอมอยู่ในน้ำซึ่งก่อนนั้นเป็นน้ำที่ใสสะอาด แต่ตอนนี้มันเป็นน้ำที่ดำปี๋
ดำเหมือนน้ำครำใน
คลองแสนแสบยังไงยังงั้นเลยล่ะครับ เอาขึ้นมาขัดได้แล้ว
นั่นฝอยขัดหม้ออย่างดีที่เราเพิ่ง
ซื้อมาใหม่ๆ ขัดมันจนกว่าจะขึ้นเงาเลยนะ


ผมได้ยินเพียงแค่นั้น ก็รีบตะโกนบอกว่า ท่านครับ
ทิ้งผมให้อยู่ในน้ำอย่างนี้ต่อไปอีกก็ได้
ผมไม่อยากถูกขัดเลย แต่ไม่มีใครฟังผมเลย ผมถูกยกขึ้นมาจากน้ำ และทันใดนั้น คนครัวก็
หิ้วหูทั้งสองข้างที่บิดๆเบี้ยวๆของผมขึ้น และลงมือทำงานของเขา
ผมร้องลั่นอย่างเจ็บปวด เมื่อ
ฝอยขัดหม้อหยาบๆ ขูดเนื้อขูดตัวผมอย่างสุดกำลังคนขัด โอ๊ย! ทำไม พวกคุณถึงทารุณผม
อย่างนี้ด้วยเล่า ผมอยู่ของผมดีๆไม่ใช่หรือ ไปซื้อผมมา
แล้วทำทารุณกับผมอย่างนี้ได้ยัง
ไง...ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้นะ

คุณเชื่อไหมละครับ ผมร้องจนไม่มีเสียงจะร้องอีกต่อไป คนขัดก็ขัดเอาๆ
ไม่สนใจเลยว่าผม
รู้สึกอย่างไร ผมล่ะเกลียดคุณฝอยขัดนั่นเสียจริงๆ
นี่ถ้าสาบมันให้หายสาบสูญไปได้ก็คงจะดี
(จริงๆแล้ว ผมก็พยายามทำอยู่หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จเจ็บใจเสียจริงๆ!)
ผมทุรนทุรายในมือ
ของคนขัด โอย!จะขัดกันไปถึงไหน? พอได้แล้วน่า...ผมเจ็บมากนะ ผมคราง หวังเหลือเกิน
ว่าเขาจะได้ยินเสียงที่ผมบ่น เสียงคนขัดพูดกับเพื่อนของเขาว่า
เออ....ดูดีขึ้นเยอะเลย คุณ
หม้อใบนี้ของนายนี่ ขัดยากกว่าใบอื่นๆที่นายซื้อมาเยอะเลยนะ
เขาพูดพร้อมกับส่ายหน้า
ผมล่ะโมโหสุดๆ เลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขายังไม่ยอมปล่อยผมออกจากมือ นายสั่งไว้
ว่าให้ขัดจนขึ้นเงา นี่ใช้ฝอยขัดหมดไปตั้งหลายอันแล้วยังมองไม่เห็นเงาเลย!
ว่าแล้วเขาก็ร้อง
บอกเพื่อนว่า เฮ้! เพื่อนยาก ช่วยเอาฝอยอันใหม่อีกอันให้ฉันหน่อย คราวนี้คงจะ
เสร็จ เสร็จเหรอ?? โอ๊ย...ผมเสร็จแน่คราวนี้ ใครก็ได้ครับ...มาช่วยผมด้วย!
ผมทั้ง
ร้องไห้ ทั้งวิงวอนด้วยน้ำตานองหน้า แต่ก็ไม่มีใครสนใจผมเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วผมก็ถูกขัดต่อไป (คิดว่าคงสลบไปหลายครั้งแล้วกระมัง) เพราะในที่
สุดผมก็
ได้ยินเสียงของท่านที่ซื้อผมมากล่าวว่า ดีแล้ว ขัดได้สะอาดดีมาก
ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะ
ต้องเอามันไปทุบ ผมสะดุ้งโหยง ตกใจสุดขีด อะไรนะ แค่นี้ยังไม่พอ จะมาทุบผมอีก
เหรอ แล้วผมก็ถูกนำไปทุบ มันเจ็บมากนะครับ เจ็บจนผมคิดว่า
นี่ถ้าผมตายไปได้ก็คงจะดี
กว่านี้แน่ คนทุบจะรู้ไหมว่า เขาไม่ได้ทุบแต่ตัวของผมเท่านั้น
แต่ได้ทุบใจของผมจนแหลก
สลายไปด้วย กี่ครั้งที่ผมถูกทุบ เขาทำกับผมอีกหลายอย่างจนผมนับไม่ไหวแล้ว
แม้แต่หูที่เคย
บิดๆเบี้ยวของผม ก็ถูกนำไปดัดให้กลับเข้าที่ (มันเจ็บจริงๆนะครับ
ตอนที่เขาดัดหูของผมเนี่ย
แต่ก็รู้สึกดีที่ฟังอะไรๆชัดขึ้นมาเยอะเลย!)

แล้วคนครัวก็นำผมไปให้ท่านที่ซื้อผมมา ท่านยิ้มอย่างพอใจ ดีมาก
ผมได้ยินคำนั้น
ก็ดีใจ มองเห็นตัวเองในกระจกเงาแล้วก็ต้องยิ้มพร้อมกับท่านไปด้วย แหม
เรานี่ก็หล่อไม่เบา
เลยแฮะ ผมชื่นชมสภาพใหม่ของตน แต่ใจก็ยังกลัวๆอยู่ว่า...จะมีคำสั่งอะไรตามมาอีก
แล้ว
ท่านก็สั่งว่า เราพอใจแล้ว มันช่างเป็นหม้อที่ดีจริงๆ เราดูแล้วไม่ผิดเลย
เอามันไปไว้ใช้ในครัว
ได้


ท่านกล่าวต่อไปอีกว่า
เราไม่มีความพอใจที่จะเห็นภาชนะที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ถูก
ทิ้งไว้ให้ตากแดดตากฝนเหมือนสิ่งไร้ค่า เราจึงซื้อมันมาจากผู้ที่กล่าวอ้าง
ว่าตนเป็นเจ้าของๆ
มัน วันนั้นใครๆ ก็หัวเราะในการกระทำของเรา ว่าช่างเขลานัก แต่...ดูตอนนี้สิ
หม้อใบนี้ได้มา
อยู่ในมือของเรา และเราจะใช้มันให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เราชอบใจมันมากจริงๆ!


ถ้อยคำเหล่านั้นของท่าน ทำให้ผมซาบซึ้งใจ น้ำตาผมคลอเบ้า
ลืมความเจ็บปวดที่ได้
รับเมื่อตอนที่ถูกขัดถูกทุบเป็นปลิดทิ้ง ผมยังจำถ้อยคำของท่านจนถึงทุกวันนี้
มันถูกจารึกไว้
ในแผ่นดวงใจของผมแล้วอย่างแน่นแฟ้นไม่มีวันลืม นี่ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน
ผมก็คงจะกลายเป็น
หม้อเก่าๆที่ไร้ค่าและผุพังไปแล้ว


ขอบคุณครับท่าน ผมเอ่ยขึ้นด้วยสำนึกในพระคุณ


นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป ทุกวันของผมช่างมีความหมาย
และผมก็
ได้กลายเป็นหม้อที่มีคุณค่าอยู่ในครัวของนาย...


โดย เจิม ซัม


12 มีนา 2009


**อยากบอกกับทุกคนว่า "อย่ากลัวที่จะอยู่ในมือของคนขัดเลย
เพราะนายของเรารู้แล้วว่าจะ
ทำอย่างไรจึงจะทำให้เราขึ้นเงา เพื่อเราจะไม่เป็นเหมือนหม้อใบเดิมที่ใช้การไม่ได้
แต่จะได้
กลายเป็นหม้อที่อยู่ในครัวของนาย มีค่าควรแก่การนำมาใช้"


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #317 เมื่อ: 14 พ.ค. 09, 10:25 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
*หลีกเลี่ยง 10 นิสัย ทำร้ายสมอง*
สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง
เปรียบประดุจศูนย์บัญชาการการทำงานของร่าง
กาย การรู้จักบำรุงดูแลรักษาสมองให้ปฏิบัติงานได้ดี
จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม
บ่อยครั้งเรากลับมีพฤติกรรมที่ทำร้ายสมองของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ลองมาดูกันว่าอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมทำร้ายสมอง
1. ไม่ทานอาหารเช้า
นอกจากทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำแล้วยังเป็นเหตุให้สารอาหารไป
เลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นเหตุให้เกิดโรคความ
จำสั้น
3. สูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้สมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป ของหวานจะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตึนและสารอาหารที่
เป็นประโยชน์เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย
การสูดเอาอากาศที่เป็นมล
ภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน ถ้าอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง การนอนแบบนี้จะเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจน
ให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองไปในตัว
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะกำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพ
การทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง
การขาดการใช้ความคิดจะ
ทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะการพูดเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
นิสัยทำร้ายสมองทั้งสิบอย่างนี้คัดมาฝากกันจาก "ต้นคิด"
จดหมายข่าวรายเดือนของสำนัก
งานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ
เพื่อจะได้ช่วยกันหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายสมองของ
ตัวเอง.
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #318 เมื่อ: 19 พ.ค. 09, 10:12 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
*เรื่องน่ารู้*
ข้าวโพด : มีคุณมากด้าน
รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริการะบุไว้ว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้ว จะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัดและพบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22,44 และ 53เปอร์เซ็นต์ขึ้นตามลำดับนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆอีกด้วย ข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้น กรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้ มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพด.
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #319 เมื่อ: 26 พ.ค. 09, 09:22 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ในทุกย่างก้าวของชีวิต มีสิ่งต่างๆมากมายรอคอยที่จะให้เราได้พบเจอได้สัมผัสทั้งดีและร้าย คงไม่มีใครที่จะเลือกพบเจอแต่สิ่งที่ดีดีได้ตลอดชีวิต เมื่อฉันเดินมาถึงจุดๆหนึ่งของชีวิต ฉันชอบที่จะมองย้อนกลับไปข้างหลัง เพื่อดูรอเท้าที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าบ่อยครั้งที่ฉันพบว่าฉันกำลังเดินออกนอกเส้นทางที่คนอื่นเคยเดินกัน แต่ว่าฉันก็ยังภูมิใจที่รอยเท้าทุกย่างก้าวของฉันเต็มไปด้วยความมั่นคงและหนักแน่น ฉันไม่เคยคิดว่าความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เลวร้าย แต่มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน ฉันดีใจที่ฉันเคยร้องไห้ เพราะเมื่อถึงเวลาที่หัวเราะ ฉันสามารถที่จะหัวเราะได้อย่างเต็มที่ สำหรับฉันแล้ว อุปสรรค ความพ่ายแพ้ มันทำให้ฉันตระหนักอยู่เสมอว่า ฉันต้องก้าวผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ไปให้ได้และเมื่อฉันก้าวไปถึงจุดนั้นมันจะเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดอีกครั้งหนึ่งของชีวิต เพราะนั่นต่างหาก คือ ชัยชนะ
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #320 เมื่อ: 2 มิ.ย. 09, 11:31 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

*พบหลักฐานวิทยาศาสตร์ปราศจากข้อสงสัย ควันบุหรี่ทำให้เป็นมะเร็งเต้านม*
กลุ่มนักวิจัยผู้ทรงคุณวุฒิระหว่างประเทศ กล่าวแจ้งว่า พบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สิ้นสุดโดยปราศจากข้อสงสัยว่า ควันหลงของบุหรี่มีส่วนเกี่ยวพันกับการทำให้เป็นมะเร็งเต้านม
ประธานคณะนักวิจัย นายเนียล ดคอลลิชอ ได้กล่าวในรายงานผลการศึกษาว่า ได้พบหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ ในอันตรายของการสูบบุหรี่และควันหลงของบุหรี่ที่มีต่อมะเร็งเต้านม "แม้จะมีหลักฐานของความเกี่ยวพันระหว่างควันบุหรี่กับมะเร็งเต้านมเป็นปริมาณมาก มากระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ แต่มันก็ยังไม่เด็ดขาด จนกระทั่งคณะผู้ทรงคุณวุฒิได้มาวิเคราะห์หลักฐานที่หาได้ทั้งหมดอย่างถ้วนถี่ โดยเฉพาะหลักฐานล่าสุด ทำให้เราสรุปได้ว่า หลักฐานของอันตรายเรื่องนี้เชื่อได้" "สตรีที่เคยสัมผัสโดนควันบุหรี่ในช่วงวัยรุ่นหรือเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ประมาณมากถึงร้อยละ 80-90 ล้วนแต่เสี่ยงกับอันตรายของมะเร็งเต้านมยิ่งขึ้น"
กลุ่มคณะนักวิจัยยังได้กล่าวว่า ในช่วงระยะหลายปีมานี้ ได้มีการศึกษาหาความข้องเกี่ยวของควันบุหรี่กับมะเร็งเต้านมในสตรีขึ้นมากมายหลายเรื่อง.

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #321 เมื่อ: 9 มิ.ย. 09, 10:26 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย
หลังย้ายเข้าคอนโดได้ไม่กี่วันก็มีเพื่อนบ้านแวะมาทำความรู้จัก
ก่อนลากลับเธอบอกว่า
"สามีให้ฉันขอซื้อระฆังลมของคุณ 20 เหรียญ"
"ราคาไม่ถึงหรอกค่ะ ถ้าไปซื้อตามห้างถูกกว่านี้อีก" ฉันตอบ
"ฉันรู้ค่ะ แต่คืนนี้เขาอยากนอนหลับให้สนิท" เธอชี้แจง
(SUSAN HIGBEE)


แถวบ้านเรามักเกิดอุบัติเหตุรถตกคูน้ำ
แม่จึงไปซื้ออุปกรณ์ทุบกระจกมาให้ฉันติดรถไว้
"เครื่องมือที่ว่าแม่วางไว้ตรงไหน" ฉันถามแม่ขณะชะโงกหน้าเข้าไปสำรวจภายในรถ
แม่ตอบว่า "แม่ใส่ไว้ให้ท้ายรถจ้ะ"
(PAT BALFE)

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #322 เมื่อ: 16 มิ.ย. 09, 11:42 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

การใดที่ไม่ดี แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็อย่าได้ทำ
การใดที่ดี ถึงจะน้อยนิดก็จะต้องทำให้ได้
- เล่าปี่ -
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #323 เมื่อ: 23 มิ.ย. 09, 10:48 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

*รู้ไวไขชีวิต*
"อย่ากลัวคลอรีนในน้ำก๊อก"
ทุกวันนี้การสื่อสารทันสมัยกันมากขึ้น บางคนได้รับอีเมล์ส่งต่อๆกันมาเกี่ยวกับข่าวสารสุขภาพที่ดูน่ากลัว อย่างเรื่องคลอรีนในน้ำประปาหรือน้ำก๊อกที่มีคนหัวใสนำไปทำการตลาดกับเครื่องกรองน้ำราคาแพงก็เป็นหนึ่งในข่าวสารลักษณะนี้มักมีการกล่าวอ้างว่ามีข้อมูลวิจัยจากต่างประเทศ พบว่าคลอรีนในน้ำประปาก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า "ไตรฮาโลมีเธนส์"จนอาจทำให้ผู้บริโภคน้ำประปาตื่นตระหนกตกใจกันขึ้นว่าไม่ควรดื่มน้ำก๊อก
เรื่องนี้ นางยิ่งลักษณ์ ธัญญะโชโต ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรการประปานครหลวง (กปน.) ชี้แจงว่า น้ำประปาเป็นน้ำที่ผลิตมาจากน้ำดิบตามธรรมชาติย่อมมีสารอินทรีย์ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตปะปนอยู่ เมื่อทำปฏิกิริยาเคมีกับคลอรีน ทำให้เกิดสารประกอบเคมีที่เรียกว่า Trihalomethanes (THMS) หรือ "ไตรฮาโลมีเธนส์" ที่ผ่านมา กปน.ติดตามการศึกษาและวิจัยของพิษภัยสารตัวนี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำประปาไว้ไม่ต่ำกว่า 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตรและสูงสุดไม่เกิน 0.5มิลลิกรัมต่อลิตร ทั้งยังได้เคยว่าจ้างให้ คณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดลและคณะวิศวะกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรวจหา "ไตรฮาโลมีเธนส์" ในน้ำประปาของ กปน. และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งได้ผลออกมาว่าปริมาณสาร"ไตรฮาโลมีเธนส์" ในน้ำประปาต่ำกว่าเกณฑ์กำหนดขององค์การอนามัยโลกมาก จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งน้อยมาก แต่ถ้าหากยังไม่มั่นใจและต้องการกำจัด "ไตรฮาโลมีเธนส์"ก็ทำได้ง่ายมากเนื่องจากจัดอยู่ในกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่าย ทำได้เพียงแค่รองน้ำประปาตั้งทิ้งไว้ในภาชนะเปิดประมาณ 15 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง ปริมาณ "ไตรฮาโลมีเธนส์"ซึ่งมีอยู่ในระดับต่ำและไม่ส่งผลต่อสุขภาพ รวมทั้งคลอรีนซึ่งอาจส่งผลต่อกลิ่นและรสของน้ำก็จะระเหยหมดไปเอง ไม่จำเป็นต้องไปซื้อเครื่องกรองน้ำราคาแพงที่บอกว่าสามารถกำจัด"ไตรฮาโลมีเธนส์" ได้ หากต้องการความมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีก สามารถนำน้ำประปาไปต้มก่อนโดยเปิดฝาภาชนะไว้ขณะต้มก็ช่วยได้เช่นกัน เพราะน้ำประปาต้มเดือดถือเป็นน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัยที่สุด.

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
โต้
เรทกระทู้
« ตอบ #324 เมื่อ: 25 มิ.ย. 09, 22:04 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ผมอายุ19แล้วคับ ยังบริสุทธิ์ น่าตาไม่ดีมาก แต่อยากมีแฟนที่บริสุทธิ์เหมือนกาน
เราจะได้รู้สึกดี แล้วเราก็ไม่อยากฝันใครแล้วทิ้งด้วย

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
โต้
เรทกระทู้
« ตอบ #325 เมื่อ: 25 มิ.ย. 09, 22:07 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ผม19ปี บริสุทธิ์ จริง ไม่ชอบมั่ว แต่ก็ไม่ได้คิดร้ายกะหญิงหลอกนะ
ถึงเราเป็นชายยังไงก็ให้เสรีภาพกับหญิงอยู่แล้ว
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #326 เมื่อ: 30 มิ.ย. 09, 11:11 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นว่า
"ทำได้ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด"
ก็คือการยอมให้พระเจ้าเผาผลาญความเป็น "ตัวฉัน"
ให้หมดสิ้นไปนั่นเอง

โดย เจิม ซัม
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #327 เมื่อ: 14 ก.ค. 09, 10:01 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 


เชื่อโดยการดูและพิสูจน์นั้นไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นความเข้าใจ
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #328 เมื่อ: 20 ก.ค. 09, 13:01 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เคยมีคนถามว่า "เมื่อไหร่ความยากจนข้นแค้นของพวกคนจนถึงจะหมดไปเสียที" ฉันตอบไปว่า "เมื่อฉันกับคุณเริ่มแบ่งปันกันนั่นแหละ"

- แม่ชีเทเรซา -
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
*chibping*
เรทกระทู้
« ตอบ #329 เมื่อ: 20 ก.ค. 09, 15:17 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ฉันก้อยากได้ผู้ชายบริสุทธิ์ค่ะ
มีม่ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆค่ะ

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #330 เมื่อ: 11 ส.ค. 09, 11:42 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
"แนวคิดการใช้ชีวิตให้เป็นสุข"

เมื่อเราไม่ได้เป็นในสิ่งที่เราอยากจะเป็น เราก็ต้องชอบสิ่งที่เรามีอยู่ ต้องทำให้ดีที่สุด

-ดร.กฤษณา- ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซปี 2009
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #331 เมื่อ: 18 ส.ค. 09, 10:45 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 20:34:24 น. มติชนออนไลน์

คุณหญิงจารุวรรณ มองปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ผ่านคำไว้อาลัย"บุญชู
โรจนเสถียร"

หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"- เป็นคำไว้อาลัยที่คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา
ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเขียนไว้ในหนังสือ
"สัมมาชีวะ"ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพนายบุญชู โรจนเสถียร
อดีตรองนายกรัฐมนตรี นอกจากยกย่องถึงคุณความดีของผู้วายชนม์แล้ว
ยังสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับปัญการการฉอ้ราษฎร์บังหลวงอีกด้วย



**********************


เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย


เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส


เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย



ท่านอาจารย์บุญชู โรจนเสถียร หรือ ฯพณฯ บุญชู โรจนเสถียร
มีเมตตาต่อดิฉันเสมอมา ด้วยการแสวงหาเพราะเชี่ยวชาญและสามารถ
ท่านจึงได้โรจนเสถียรอย่างยาวนาน ลูกศิษย์เต็มบ้าน
ผู้ยกย่องท่านเต็มเมือง


เมื่อครั้งท่านดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การคลัง ท่านได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดูแลสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
เพราะองค์กรของเรายังอยู่ภายใต้รัฐบาล


ท่านเรียกดิฉันไปพบแล้วก็สั่ง สั่ง และสั่ง
ให้เสนองบเงินสดของสามการไฟฟ้า และหนึ่งการน้ำมัน
และต้องการก่อนการประชุม ครม. วันรุ่งขึ้น
ให้วิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจว่าควรจะมีการกำหนดค่ากระแสไฟฟ้าอย่างใด
การชำระหนี้ระหว่างองค์กรอย่างใด ทุกอย่างต้องรวดเร็ว ทันใจ ถูกต้อง
และตรงตามต้องการ
แล้วท่านก็ไปพูดกับนักธุรกิจใหญ่ของเมืองไทยคนหนึ่งในขณะนั้นว่า
ทั้งหน่วยงานมีเด็กผู้หญิงรู้เรื่องอยู่คนเดียว


หลังจากนั้นดิฉันก็ถูกหวยคือต้องรับโทรศัพท์ 6 โมงเช้า
เพื่อเตรียมข้อมูลให้ทันประชุม ครม.ตอน 10 โมงเช้า รางวัลก็คือคำว่า
"เออ..ขอบใจ" เมื่อดิฉันถูก "เด้ง"
ไปต่างจังหวัดท่านก็ไปปรารภกับนักธุรกิจใหญ่ผู้นั้นอีกว่า
"เห็นใจแต่ไม่อยากก้าวก่าย"


ท่านอาจารย์บุญชู หรือ "บ้วนฉู่ต้าซือ" ที่พวกเราแอบนินทา เก่งจริง
รู้จริง และทำจริง ท่านจึงประสบความสำเร็จในทุกด้านที่ท่านตั้งใจทำ


น่าเสียดายถ้าเราได้มีนายกรัฐมนตรีสักคน ชื่อ บุญชู โรจนเสถียร
วันนี้แผ่นดินเกิดของเราคงไม่มีปัญหาการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงถึงเพียงนี้
เพราะท่านคงมีโอกาส "สั่งการ" ให้ตรวจสอบและป้องกันจริง
มิใช่ปากว่าตาขยิบจนชีวิตน่าเวียนหัวเช่นนี้


ขอสดุดีค่ะ ท่านอาจารย์ และระลึกเสมอไปว่าเพราะท่านแสวงหา เชี่ยวชาญ
และสามารถ มิใช่เพราะรอคอย หาโอกาส และโชคช่วย
ท่านจึงเป็นซาร์ในความคิดคำนึงของศิษย์ทั้งหลายเสมอมาและตลอดไป


ขอพระเจ้าทรงรับดวงวิญญาณของท่านสถิตในความสงบสุขตราบนิรันดร์


ยังคงอวดกล้า และโต้เถียงเหมือนเดิมใช่ไหมคะ


อ้อ! ยังรัก เคารพ ศรัทธา และก้มกราบได้สนิทใจเหมือนเดิมค่ะ



คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา
ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #332 เมื่อ: 25 ส.ค. 09, 10:58 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

"ชีวิตคนเราถึงแม้ว่าจะมีความพิการทางร่างกาย แต่จิตใจดี
ย่อมดีกว่าคนที่ร่างกายดี แต่พิการทางจิตใจ"
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #333 เมื่อ: 31 ส.ค. 09, 10:43 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
เมื่อฉันมองตาพระเยซู....

ฉันเห็นความเข้าใจและการให้โอกาส
ในวันที่ฉันล้มเหลว
และทำผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
คนมากมายมองดูฉันอย่างสะอิดสะเอียนและเกลียดชัง
เขาคงอยากจะขว้างฉันให้ตายสินะ
ถ้าทำได้
แต่ในสายตาของพระองค์นั้นปราศจากการตำหนิ
ปราศจากความเกลียดชัง
แต่กลับเต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจ
และด้วยสายตานั้นเอง
ที่ทำให้ฉันเป็นคนใหม่
ด้วยสายตานั้นเองที่ทำให้ฉันไม่กลับไปเป็นเช่น 'ฉัน' คนเดิม

เมื่อฉันมองตาพระเยซู....

ฉันเห็นความอ่อนโยนที่ลึกซึ้ง
กว่าความอ่อนโยนใดๆที่พึงมีในโลก
เป็นความอ่อนโยนที่โอบล้อมอยู่รอบกาย
เป็นเหมือนผ้าห่มในวันเหน็บหนาว
เป็นเหมือนร่มคันใหญ่ในวันที่แดดแรงกล้า
เป็นเหมือนยาวิเศษในวันที่ฉันเจ็บป่วย
เป็นทุกสิ่งที่อัศจรรย์เกินที่ฉันจะสามารถบรรยาย
เมื่อมองตาพระองค์นั้น แม้ไม่ทรงตรัสฉันก็ได้ยิน เสียงที่บอกกับฉันว่า
"เราอยู่กับเจ้าเสมอ ในทุกทางที่เจ้าเดิน เราจะไม่ละหรือทอดทิ้งเจ้าเลย"

เมื่อฉันมองตาพระเยซู....

ฉันเห็นความห่วงใย
ในท่ามกลางความทุกข์ยากที่เข้ามารุมล้อมชีวิตฉัน
ในวันที่แม้แต่เพื่อนสนิทก็หนีจาก
คนที่รักก็ละทิ้ง
สายตาของพระองค์มองมาที่ฉันอย่างเข้าใจ
แม้ไม่ทรงพูด
แม้ไม่ทรงทำให้สถานการณ์เป็นไปอย่างที่ใจฉันร่ำร้องและต้องการ...
แต่ฉันก็มองเห็น...ความห่วงใยนั้นเป็นเหมือนเสียงที่กำลังบอกกับฉันว่า
"ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง
และจะไม่เมตตาบุตรจากครรภ์ของนางได้หรือ
แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้
กระนั้นเราจะไม่ลืมเจ้า"

เมื่อฉันมองตาพระเยซู....

ฉันเห็นการหนุนใจ
ในการงานที่ยุ่งยาก หนทางที่ขรุขระไม่ราบรื่น
หลายครั้งทำให้ฉันอยากถอยหนี
แต่สายตาของพระองค์ก็ยึดฉันไว้
ทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อ
ด้วยสายตาที่มองมาทำให้ฉันเห็น....

โนอาห์ลุกขึ้นถือขวาน
และเดินออกจากบ้านเข้าไปในป่า...
ท่านตัดต้นไม้ลงเพื่อทำเรือใหญ่ตามพระบัญชา
แม้ว่าคนจะหัวเราะเยาะ ติเตียน สบประมาท
แต่ท่านก็นิ่ง
มุ่งทำงานของท่านต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
ฉันมองเห็นอับราฮัมลุกขึ้นผูกอานลา
พาครอบครัวเดินไปในทิศทางที่ท่านเองก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าผู้ทรงสร้างท่านบัญชาให้ไป...ก้าวต่อก้าว
จะให้ฉันพูดถึงอะไรอีกเล่า?
เหตุการณ์มากมายในพระคัมภีร์
ได้ทำให้ฉันเข้าใจสายตาที่พระองค์ทรงมองมาที่ฉัน....
และเมื่อฉันมองไปที่พระองค์
ฉันก็ปราศจากคำพูดใดๆ
แต่เอื้อมมือหยิบงานที่ทรงมอบหมายให้
เดินออกไปเพื่อทำให้สำเร็จ...
ฉันลุกขึ้นและเดินไปข้างหน้า....ก้าวต่อก้าว....

ด้วยความรักในพระคริสต์
เจิม ซัม
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
สายน้ำผึ้ง
เรทกระทู้
« ตอบ #334 เมื่อ: 10 ก.ย. 09, 22:25 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

สาวบริสุทธิ์ คือ สตรี หรือ ผู้มีใจเป็นสตรี ที่มีจิตใจอันบริสุทธ์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น รักษาศีล รักษาธรรม ไม่ให้ร้าย ไม่โอ้อวด เคารพในสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น สาวไม่บริสุทธิ์ คือสตรี หรือ ผู้มีใจเป็นสตรี ที่ละเลยศีล ขว้างทิ้งธรรม จิตใจเต็มไปด้วยริษยา เป็นทุกข์อยู่ทุกวัน

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #335 เมื่อ: 30 ก.ย. 09, 12:16 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสชมเชยการบริจาคโลหิตว่าเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ได้ช่วยให้คนรอดตายไว้ได้มาก แม้มีเงินก็ช่วยอะไรไม่ได้ หากไม่มีคนใจกุศลเช่นนี้ การบริจาคโลหิตดูโดยเผินๆก็น่ากลัวอันตราย แต่ที่จริงแล้วไม่มีอันตราย มีแต่ประโยชน์แก่ผู้ให้และผู้รับ

"ให้ช่วยกันบริจาคโลหิตเป็นประจำ ไม่ใช่เพียงแค่บริจาคเฉพาะครั้งนี้"

พระราชทานเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2507 ณ ศาลาผกาภิรมย์ พระราชวังดุสิต
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #336 เมื่อ: 30 ก.ย. 09, 12:30 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

วิถีแห่งความพอเพียงตามคำสอนในพระคริสตธรรมคัมภีร์
โดย ศจ.ดร.เสรี หล่อกัณภัย
คอลัมน์พระวจนธรรม จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2175 ประจำวัน พุธ ที่ 5 ธันวาคม 2007

ทฤษฎี
เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
หัวที่ทรงชี้แนะต่อพสกนิกรชาวไทยในการดำเนินชีวิตมานานกว่า 25 ปีแล้ว
เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ได้ยินได้ฟังมาเป็นเวลานาน
แต่ก็มีคนจำนวนไม่มากนักที่นำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งนี้
อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจและประชาชนส่วนใหญ่ยังถูกครอบงำด้วย
กระแสบริโภคนิยมจากสื่อต่างๆที่พยายามชักจูงให้บริโภคมากขึ้น
หลายครั้งรัฐบาลก็มักจะถูกแรงกดดันจากตัวเลขทางเศรษฐกิจในภาคเอกชนโดยเฉพาะ
ด้านอุตสาหกรรมต่างๆให้พิจารณาการเติบโตแต่ละปีว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็น
อัตราร้อยละกี่เปอร์เซ็นต์โดยวัดจากการพฤติกรรมบริโภคของประชาชนในประเทศ
หากมีการใช้จ่ายน้อยก็แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ดี
รัฐบาลก็ต้องรีบหาแผนมากระตุ้นเศรษฐกิจอีก เมื่อถูกกระตุ้นแล้ว
ประชาชนก็ต้องพยายามออกมาใช้เงิน
แต่ปัญหาก็คือประชาชนจำนวนมากได้ใช้เงินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
หนี้สินที่มีอยู่ก็ยังชำระไม่หมด ดังนั้น
การใช้จ่ายกับการออมจึงเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน

ด้วยความห่วงใยต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้มีแนวพระราชดำริเพื่อเป็นทางออกให้กับ
ประชาชนของพระองค์ด้วยการรู้จักใช้จ่ายอย่างพอเพียง
วิถีแห่งความพอเพียงนี้สอดคล้องกับคำสอนในพระคริสตธรรมคัมภีร์เริ่มตั้งแต่
การทรงสร้าง
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นแล้ว
ก็ได้แต่งตั้งให้มนุษย์ครอบครองดูแลสรรพสิ่งเหล่านั้น และกำหนดว่า
ในหนึ่งสัปดาห์ ให้มนุษย์ได้หยุดพัก 1 วัน
แต่มนุษย์ในสมัยนี้ไม่ยอมหยุดพัก
เพราะคิดว่าถ้าหยุดพักก็จะสูญเสียโอกาสที่จะทำรายได้ไป
การไม่ยอมหยุดพักนี้มีผลเสียคือ ทำให้มนุษย์เครียด และเจ็บป่วยได้ง่าย

ดร.โสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์ ราชบัณฑิตสาขาจิตวิทยา
กล่าวในการสัมนาวิชาการเรื่อง ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ที่มีต่อสังคมไทย ว่า
สภาพความเป็นอยู่
และการดำเนินชีวิตคนไทยมีลักษณะนิสัยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก
ปัจจุบันคนไทยกลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
ชอบใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ ซึ่งทำให้เกิดความเครียดมากขึ้นจนกลายเป็นโรคร้ายแรง
เพราะชอบแข่งขันเอาชนะ และบูชาวัตถุนิยม
มีบุคลิกภาพเครียดและต่อต้านสังคม
อันเป็นผลมาจากการขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว
หรือได้รับการเลี้ยงดูที่เข้มงวดด้านการแข่งขันมากเกินไป
หรือเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลยจนเกินไป ระบบครอบครัวอ่อนแอลง
ถือเป็นวิกฤตที่อันตรายมากที่สุดของสังคมไทยเวลานี้ ดังนั้น
การที่คริสเตียนรู้จักหยุดพักจากหน้าที่การงานและไปนมัสการพระเจ้าในวัน
อาทิตย์
นอกจากจะเป็นการป้องกันความเครียดและลดการแข่งขันในชีวิตประจำวันแล้ว
ยังเป็นโอกาสที่จะได้ใช้เวลากับครอบครัวอีกด้วย

เรื่องการหยุดพักนั้นไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของคนเท่านั้น
พระคัมภีร์เดิมยังมีคำสั่งให้คนอิสราเอลกำหนดปีสะบาโตขึ้น
คือทุกเจ็ดปีคนอิสราเอลจะต้องหยุดงาน หยุดการทำกสิกรรม
การทำเช่นนี้ทำให้แผ่นดินได้มีโอกาสหยุดพักด้วย
และพระเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมให้พวกเขาอย่างพอเพียง
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ทำการเพาะปลูกก็ตาม (เลวีนิติ 25:1-7)

เมื่อชนชาติอิสราเอลได้เข้าครอบครองแผ่นดินคานาอันนั้น
พวกเขาได้รับการแบ่งที่ดินตามเผ่า ตามตระกูล และตามครอบครัว
คนที่มีเงินมากก็ไม่มีสิทธิ์ถือครองที่ดินจำนวนมากเกินไป
แม้จะสามารถซื้อที่ดินทางการเกษตรของคนอื่นได้ก็จริง
แต่ก็ไม่สามารถเป็นเจ้าของอย่างถาวร
เมื่อถึงปีอิสรภาพหรือปีเสียงเขาสัตว์
คนที่ซื้อมาก็ต้องคืนให้กับเจ้าของเดิม (เลวีนิติ 25:8-17)
หากเจ้าของเดิมเสียชีวิต
ผู้ที่จะมีสิทธิ์ไถ่ถอนที่ดินแทนได้นั้นจะต้องเป็นญาติสนิทของเจ้าของเดิม
ที่เสียชีวิตไป และจะต้องทำหน้าที่เป็นสามีให้กับภรรยาม่ายของเจ้าของเดิม
เพื่อให้มีบุตรสืบสกุลต่อไป
การมีกฎหมายนี้ก็เพื่อเป็นการปกป้องชาวบ้านธรรมดาไม่ให้สูญเสียที่ทำกินของ
ตนไป และในขณะเดียว
กันก็ไม่ทำให้คนมีเงินขยายอิทธิพลของตนเองไปครอบครองที่ดินได้มากเกินไป
กฎหมายนี้เองทำให้คนอิสราเอลสามารถรักษาที่ดินของบรรพบุรุษไว้ได้




noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #337 เมื่อ: 2 ต.ค. 09, 12:01 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ความสุขกับความหมายที่แท้จริง - โดย เจิม ซัม


ข้าพเจ้า
เคยเห็นเด็กยากจนคนหนึ่งในกัมพูชาวิ่งไปคว้าจานก๋วยเตี๋ยวที่คนกินเหลือมา
กินอย่างเอร็ดอร่อย ดูท่าก็ว่าเขามีความสุขมากเวลาที่ยกจาน
(ที่เหลือแต่น้ำก๋วยเตี๋ยว) ขึ้นมาซด

เคยเห็นนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
ในมือถือใบปริญญา ใบหน้าเขาเปี่ยมไปด้วยความสุข
ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจบมาแล้วจะไปหางานทำที่ไหนและงานอะไร?

เด็ก สาวอายุเพียง 16 ปีได้ถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ เธอได้ 3
ล้านเหรียญสหรัฐมาแบบสบายๆ เธอตื่นเต้นและดีใจมากกับโชคของตัวเอง
เธอวาดฝันไว้อย่างสวยหรูและมีความสุข แต่เพียง 6 ปีให้หลัง เงิน 3
ล้านเหรียญที่เธอมีก็ติดปีกบินหนีจากเธอไปพร้อมกับรายการค่าใช้จ่ายต่างๆที่
เธอใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย สุดท้ายเธอก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
และเกือบจะเอาตัวไม่รอดจากปัญหาที่เธอก่อในช่วงเวลาที่เธอยังมีเงินอยู่นั้น
กว่าจะรู้ตัวเธอก็ต้องทนทุกข์กับการติดยาและความเจ็บปวดที่ตามมาอีกนับไม่
ถ้วน!

"ความสุข" ของโลกนี้เป็นความสุขที่มีมา แล้วก็มีไป ไม่คงทน ไม่ถาวร
ขึ้นๆลงๆ เป็นความสุขที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์รอบข้าง

แต่ พระเยซูได้ทรงสัญญาไว้ในพระธรรมยอห์น 14 : 27 ว่า
"เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น
เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย"

เรา พบว่า หลังจากที่พระเยซูทรงสัญญาคำนี้กับเหล่าสาวก
ชีวิตของเหล่าสาวกและผู้ที่ติดตามพระองค์นั้นก็เต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้
จริง ความสุขของพวกเขาไม่ขึ้นอยู่กับฐานะ หรือสถานการณ์
ไม่มีเหตุการณ์ใดๆทำลายความสุขที่พวกเขามีไปได้เลย พวกเขาเป็นสุขทุกเวลา
เป็นสุขแม้ว่า...

ข้าพเจ้าเองได้รับความสุขอย่างนั้นมาแล้วเมื่อ 26
ปีที่ผ่านมา...ความสุขครั้งแรกได้รับเมื่อคุกเข่าลงที่พื้นในห้องนอนตอนดึก
สงัดของวันหนึ่งในเดือนกันยายน
เพื่อเปิดใจออกต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าสูงสุดเข้ามาเป็นเจ้านายในชีวิต
ข้าพเจ้าร้องไห้ตลอดคืนอย่างเปี่ยมสุข และจากนั้นเป็นต้นมา
สันติสุขนั้นก็อยู่ติดกับชีวิตของข้าพเจ้า ไม่จากไปไหนเลย
แม้ว่าในชีวิตจะผ่านทั้งหน

ทางที่ราบรื่นและปัญหาที่มากมาย...เป็นอย่างที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ไม่มีผิดเลยว่า

"สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้"

วันนี้ ข้าพเจ้านั่งเขียนเรื่องราวของความสุข
เพื่อแบ่งปันแก่ท่านทั้งหลาย ไม่เพียงแต่อยากให้ท่านรับทราบ
แต่อยากเชิญชวนให้ท่านได้รับด้วย...ในพระคริสต์มีสันติสุขที่ยั่งยืนถาวร
นิรันดรจริงๆ

ผู้เขียน : นางเจิม ซัม เรียนจบจากพระคริสตธรรมเพนเทคอสแห่งประเทศไทย ปี
1987-1995 รับใช้พระเจ้าที่คริสตจักรใจสมานสุขุมวิท ซ.6 เมื่อปี
1995-2007 รับใช้ในฐานะมิชชันนารีที่ประเทศกัมพูชา
ปัจจุบันอาศัยอยู่กับครอบครัวที่เมืองสปริงค์ รัฐเทกซัส
ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังบุกเบิกงาน "นำความหวังสู่เอเชีย"

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 226 วันที่ 26 กันยายน -
2 ตุลาคม พ.ศ. 2552 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย เจม ซัม
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #338 เมื่อ: 2 ต.ค. 09, 13:31 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพระบรมราชูปถัมภก

"......ข้าพเจ้าเองก็มีความปีติ เต็มตื้นใจที่ได้เห็นน้ำใจของทุกคนเช่นนี้ เพราะเป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงคุณธรรมข้อหนึ่ง ที่ยังอยู่อย่างบริบูรณ์ในจิตใจของคนไทย ก็คือการให้ การให้นี้ไม่ว่าจะให้สิ่งใดแก่ผู้ใด โดยสถานใดก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่พึงประสงค์อย่างยิ่งเพราะเป็นเครื่องประสานไมตรีอย่างสำคัญระหว่างบุคคลกับบุคคลและทำให้สังคมมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นด้วยสามัคคีธรรม นอกจากนั้นการให้ยังเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอีกด้วย กล่าวคือ ผู้ให้ก็มีความสุข มีความอิ่มเอิบใจ ผู้รับก็มีความสุข มีกำลังใจ สังคมส่วนรวมตลอดถึงประเทศชาติ ก็มีความผาสุก มีความร่มเย็น..."

พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2546
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #339 เมื่อ: 21 ต.ค. 09, 14:02 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

โสโดม สุสานแห่งความชั่ว
โดย บรรจง บินกาซัน
คอลัมน์สันติธรรม จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2176 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 6 ธันวาคม 2007


โซ ดอม (Sodom) เป็นเมืองเก่าแก่ในอดีตประมาณสี่หรือห้าพันปีก่อน
เมืองนี้ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของทะเลตาย (Dead Sea)
ปัจจุบันมีน้อยคนนักที่รู้จักเมืองนี้และไม่มีใครได้เห็นมันอีกแล้ว
ทั้งนี้เพราะโซดอมเคยเต็มไปด้วยความชั่วและบาปหนาจนเกินกว่าที่แผ่นดินจะ
แบกรับได้ ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงฝังเมืองนี้ไว้ใต้ธรณี

ตัวอย่างความชั่วช้าเลวทรามของผู้คนในเมืองโซดอมเป็นอย่างไรนั้น
คัมภีร์ตัลมูดซึ่งเป็นคัมภีร์ที่พวกนักบวชชาวยิวเขียนขึ้นหลังสมัยโมเสสได้
บันทึกไว้ว่า
ครั้งหนึ่งมีชายแปลกหน้าเดินทางผ่านมายังเมืองนี้ในตอนค่ำและได้พักค้าง
แรมอยู่นอกเมือง เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
ชายแปลกหน้าผู้นั้นพบว่าลาของเขาและสิ่งของบางอย่างได้ถูกขโมยไป
เขาจึงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ชาวเมืองจึงได้กรูกันเข้ามา
แต่มิได้ช่วยเหลือเขา
หากแต่เข้ามาฉกชิงทรัพย์สินที่เหลืออยู่ไปจนหมดเกลี้ยง

พ่อค้าแทบทุกรายที่หลงผ่านมายังเมืองนี้จะถูกดักปล้นสินค้าโดยไม่มีชาวเมือง
คนใดให้ความช่วยเหลือ ไม่เพียงเท่านั้น
หลังจากถูกปล้นสินค้าหรือทรัพย์สินไปแล้ว
พวกชาวเมืองยังจะช่วยกันลากพ่อค้าเคราะห์ร้ายเข้าไปทำปู้ยี่ปู้ยำในสวนของ
พวกตนด้วย

คัมภีร์ตัลมูดยังได้บันทึกความใจดำอำมหิตของคนในเมืองโซดอมเอาไว้อีกว่า
ครั้งหนึ่งเคยมีคนจนเดินผ่านมายังเมืองนี้และล้มลงเพราะความหิว
เมื่อมีคนนำน้ำหรืออาหารมาให้
เขากลับถูกชาวเมืองด่าและข่มขู่ว่าจะไล่ออกจากเมืองหากยังไม่หยุดทำเช่นนั้น

รักร่วมเพศ ความเสื่อมของเมืองโซดอม

แต่ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมที่ทำให้เมืองนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติ
ศาสตร์ก็คือความนิยมในเรื่องรักร่วมเพศในหมู่ผู้ชายด้วยกันจนชื่อของเมือง
นี้ได้กลายเป็นที่มาของคำว่า ?โซโดมี? (Sodomy)
ซึ่งหมายถึงการรักร่วมเพศ
ความขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความชั่วดังกล่าวข้างต้นนี้เองที่ทำให้อิบรอฮีม
(อับราฮัม) ได้ส่ง ลูฏ (โลต)
หลานชายของท่านไปยังเมืองโซดอมเพื่อตักเตือนชาวเมืองให้เห็นถึงผลร้ายของ
ความชั่วดังกล่าวและละเว้นจากพฤติกรรมนี้เสีย
ลูฏได้เตือนชาวเมืองว่าการรักร่วมเพศเป็นความชั่วที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเคย
ทำมาก่อนและแม้แต่สัตว์ก็ยังไม่เคยทำ แต่แทนที่จะเชื่อฟัง
ชาวเมืองกลับขู่ที่จะขับไล่ลูฏออกจากเมืองหากไม่หยุดตักเตือนพวกเขา





noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
คนดี
เรทกระทู้
« ตอบ #340 เมื่อ: 21 ต.ค. 09, 20:44 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

q*028เราก็เคยเอาเด็กมา.....(บริสุทธิ์)...แต่เรารักเขามากนะ คบกันมา 5 ปี

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #341 เมื่อ: 30 ต.ค. 09, 13:18 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
มิตรที่สมบูรณ์มีบ้างไหม?
โดย อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์



"เมื่อคุณกำลังมองหาเพื่อน อย่ามองหาความสมบูรณ์แบบ
ให้มองหาเพียงแค่มิตรภาพก็พอ...

คนที่มองหาเพื่อนที่ปราศจากความบกพร่องจะต้องผิดหวัง" ("When you're
looking for a friend don't look for perfection, just look for
friendship. One who looks for a friend without faults will have
none."

ไม่ทราบว่าใครเป็นคนกล่าวประโยคข้างต้นเป็นคนแรก
แต่ทุกคนที่ได้อ่านต่างก็เห็นด้วยกับผู้ที่กล่าว

ช่างน่าเศร้าที่บางคนทำเหมือนกับว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ
และมักจะไม่พอใจที่คนรอบข้างไม่สมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับเขา

ช่างน่าขันที่เขาพยายามจะหามิตรที่สมบูรณ์แบบ
เพราะเขาจะไม่ได้พบคนเช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่ที่เขาจะได้พบก็คือ คนที่
"คิดว่าตัวเองสมบูรณ์แล้ว" เช่นเดียวกับตัวเขา

และสิ่งที่จะตามมาก็คือ สงครามกลางเมืองในท่ามกลางกลุ่มคนที่คิดว่า
ตัวเองสมบูรณ์แบบกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง

แต่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำตรงข้าม
เมื่อพระองค์ทรงรับสภาพมนุษย์ดำเนินอยู่ในโลก
พระองค์ไม่เสียเวลาไปเป็นมิตรกับกลุ่มคนที่คิดว่า "ตัวเองสมบูรณ์แบบ"
หรือ "บริสุทธิ์กว่าผู้อื่น" (Holier than thou)

พระองค์ทรงแสวงหาช่องทางที่จะเป็นมิตรสหายร่วมกินร่วมดื่มกับคนที่สังคมประฌามว่า
พวกเขาเป็นคนบาป เป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ จนบรรดาคนที่
"คิดว่าตัวเองสมบูรณ์กว่า" รุมประณามหยามเหยียดพระองค์ว่า
"ดูเถิดนี่เป็นคนกินเติบ และขี้เมา เป็นมิตรสหายกับคนเก็บภาษี
และคนนอกรีต" (มัทธิว 11:19)

แต่ทุกคนที่เป็นมิตรกับพระเยซูคริสต์
และได้รู้จักกับพระองค์อย่างแท้จริงจะสำนึกในบาปของตนและกลับใจใหม่
และกลายเป็นพี่น้องกับพระองค์!

ในวันนี้ก็เช่นกัน
พระเยซูคริสต์ทรงพร้อมเป็นมิตรสหายกับคุณโดยไม่สนว่าเบื้องหลังของคุณจะเป็นอย่างไร
เพราะว่าพระองค์ทรงฤทธิ์สามารถประทานอนาคตเบื้องหน้าที่ดีกว่าสำหรับมิตรสหายเช่นคุณ
ได้อย่างแน่นอน

แท้จริงพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ "สมบูรณ์แบบ" (Perfect)
แต่กลับทรงยินดีต้อนรับบุคคลที่ยอมรับว่าตัวเอง "ไม่สมบูรณ์" (not
Perfect) เพื่อช่วยเขาให้ "สมบูรณ์" มากยิ่งขึ้น

แต่สำหรับคนที่คิดว่า ตัวเอง "สมบูรณ์แล้ว" (Already Perfect) พระองค์ผู้
"สมบูรณ์แท้จริง"ไม่ทรงประสงค์จะเสียเวลากับพวกเขาที่หลงคิดว่าตัวเอง
"ดี" หรือ "ชอบธรรม"
แต่พระองค์ทรงมาหาคนที่สำนึกว่าตัวเองไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แล้ว อย่างเช่น
"คนนอกรีต" และคบพวกเขาเป็นมิตร

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ
เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม
แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต" (มาระโก 3:17)

วันนี้ คุณพร้อมจะเป็นเพื่อนกับคนนอกรีตรอบตัวของคุณบ้างไหมครับ?

----- ----- ----- ----- ----- ----- ---------- ----- ----- -----
----- ----- -----

"คุณจะไม่มีเพื่อนเลย
หากว่าคุณต้องการมีเพื่อนที่ปราศจากความบกพร่องใด" (You will never have
a friend if you must have one without a fault.)

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 227 วันที่ 3-9 ตุลาคม
พ.ศ. 2552 หน้า 25 คอลัมน์ พลังชีวิต โดย อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #342 เมื่อ: 12 พ.ย. 09, 10:02 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

คำพยานจากอดีตโสเภณี
CCM


อดีตโสเภณี
ป้าแก้ว(50 ปี)
เล่าอดีตที่ขมขื่นของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสให้พวกเราที่เข้ารับการอบรม
ผู้ประกาศข่าวดีของพระเจ้าประจำวัด(PMG)ที่บ้านคริสตีน่า นนทบุรี
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2009 ฟังว่า....
เลี้ยงลูกด้วย..(ขอโทษ)....ตีนจริงๆ
เธอเป็นลูกสาวของตำรวจ เดิมบ้านอยู่ลพบุรี
เรียนจบเพียงชั้นประถมปีที่ 3 แล้วใจแตกเข้ามาทำมาหากินอยู่แถวบางซื่อ
มีสามีมาแล้วสี่คน พร้อมกับมีลูกสี่คนจากสามีแต่ละคน ลูกสาวคนโตทำงานแล้ว
ส่วนอีกสามคนกำลังเรียนอยู่ วันที่มาคุยกับพวกเรา
ป้าแก้วพาลูกสองคนหลังมาด้วย
เธอเล่าไปหัวเราะไปว่าถ้าไม่ได้พบกับคุณพ่ออาดรีอาโนก็คงหาสามีคนอื่นๆอีก
ต่อไป
เพราะสามีแต่ละคนอยู่กับเธอจนเธอมีลูกกับเขาแล้วก็จากเธอไปปล่อยให้เธอ
เลี้ยงลูกแต่เพียงลำพัง เธอบอกว่าเธอเลี้ยงลูกด้วย(ขอโทษ)
ตีนจริงๆ...ขณะเล่าก็เรียกลูกสาวซึ่งกำลัง เรียนอยู่ชั้นม. 1
ออกมาสาธิตด้วย...ลูกสาวเองก็ยืนยันกับพวกเราว่าเป็นอย่างนี้จริง
บางครั้งก็ถีบเธอ ตบเธอ จิกผมเธอ สารพัด
เมื่อพวกเราถามลูกสาวว่าโกรธแม่หรือเปล่า เธอตอบว่า
"ไม่โกรธแต่มีเถียงบ้าง"

จะฆ่าตัวตาย
เหตุการณ์หัวเรียวหัวต่อในชีวิตของเธอก็คือ
ขณะนั้นลูกคนเล็กของเธออายุแค่ 3 เดือน
เธอได้ไปตรวจโรคและพบว่าเธอเป็นโรคเอดส์ขั้นร้ายแรง สามี(ในขณะนั้น)
ก็เป็นคนเจ้าชู้ ขี้เหล้า ไม่รับผิดชอบ เพื่อนบ้านก็รังเกียจ
เดินผ่านบ้านใครก็ไม่ได้
จะกินข้าวกับใครหรือคบหาสมาคมกับใครก็มีแต่คนเบือนหน้าหนี เรียกเธอว่า
"อีเอดส์" และเรียกลูกๆของเธอว่า "ลูกอีเอดส์"
เธอรู้สึกว่าชีวิตนี้ไร้ค่าจริง ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ไม่มีใครรักเลย
จึงหอบลูกออกไปเพื่อจะฆ่าตัวตาย
แต่ไม่รู้อย่างไรได้มาพบกับคุณพ่ออาดรีอาโน
จึงไม่ได้ฆ่าตัวตายตามที่ตั้งใจ

เรียนคำสอนแต่ไม่เชื่อ
คุณพ่ออาดรีอาโน มักจะไปทำงานแถวๆสลัมบางซื่อ
แต่เดิมนั้นเธอไม่มีความเชื่อเรื่องศาสนาอะไร ยิ่งเรื่องพระเจ้า
เธอยิ่งไม่เชื่อใหญ่เลยว่าพระเจ้ารักเธอ
ในชีวิตของเธอไม่เคยมีใครรักเธอจริง ๆ เลย
แต่เมื่อคุณพ่อยื่นมือมาช่วยเธอและครอบครัว เธอก็รับความช่วยเหลือต่าง ๆ
นั้นไว้แต่ในใจของเธอนั้นไม่ได้มีความจริงใจอะไรให้กับคุณพ่อเลย



คุณพ่ออาดรีอาโนได้มาพบเธอและครอบครัวอย่างสม่ำเสมอและเริ่มพูดคุยเรื่องของ
คุณค่าของชีวิต คุณพ่อสอนเธอให้รักชีวิตของตนเอง
คุณพ่อไม่ได้สอนเธอคนเดียวแต่ยังมีเพื่อนๆของเธอที่เป็นโสเภณีด้วยกันอีกสอง
คนมาเรียนคำสอนด้วยกัน เมื่อมาพบคุณพ่อในแต่ละครั้งแล้ว
เขาทั้งสามต่างก็พูดคุยกันว่าคำสอนที่ได้รับจะเอามาใช้ในชีวิตของพวกเขาได้
อย่างไร


แรก ๆ เธอและเพื่อนต่างมีใจแบ่งรับแบ่งสู้
เพื่อนบ้านก็นินทาว่าร้ายว่าเธอกำลังถูกฝรั่งหลอก ฝรั่งจะเอาตัวไปขายบ้าง
หลอกเอาลูกไปขายบ้าง เธอมีผัวใหม่เป็นฝรั่งบ้าง
ตัวของเธอเองก็หลอกคุณพ่อในหลายๆเรื่อง
บางครั้งก็นินทาด่าว่าคุณพ่อและเจ้าหน้าที่ของคุณพ่อ
จนหลายครั้งคุณพ่อได้ไล่เธอออกไปด้วยความโมโห

พ่อเองก็ได้เล่าให้พวกเราฟังว่าคุณพ่อก็ต้องสวดภาวนาอย่างมาก
เพื่อที่จะให้อภัยเธอและสามารถช่วยเธอให้พ้นจากสภาพที่เธอกำลังเป็นอยู่
คุณพ่อเองรู้ว่าเธอหลอกและโกหกคุณพ่อในหลายๆเรื่อง แต่คุณพ่อไม่ย้อท้อ
ยังคงไปหาเพื่อเยื่ยมเยือนพูดคุยและสอนคำสอน
คุณพ่อยังพาคนอื่นๆไปเยี่ยมอีกด้วย
จนที่สุดชาวบ้านเริ่มทักทายว่าเธอเปลี่ยนไป





เธอเริ่มเปลี่ยนไป
พ่อสอนให้เธอสวดภาวนาและไว้วางใจในพระเจ้า
เธอและลูกๆเริ่มสวดภาวนา สิ่งที่เธอเริ่มเปลี่ยนแปลงก็คือ
เธอและเพื่อนๆมีใจเย็นขึ้น จากแต่ก่อนที่มีปากเป็นอาวุธ
เจอใครเป็นด่าว่าดะไปหมด เริ่มทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อย
เธอบอกว่าคำสอนของคุณพ่อทำให้ใจของเธอสูงขึ้น
เธอได้ขอหนังสือสวดเพื่อจะได้พาลูกๆสวดด้วย

ปาฏิหาริย์

แล้วก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับชีวิตของเธอแต่ก่อนเธอมีเชื้อโรคร้ายในขั้นร้าย
แรง แต่เมื่อไปตรวจใหม่ปรากฏว่าเชื้อไวรัสลดลง
จนสามารถเรียกได้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนไข้อีกแล้ว
ร่างกายของเธอก็แข็งแรงขึ้นทุกวันจนสามารถทำอะไรต่างๆได้เป็นปกติ
ที่สำคัญคือลูกของเธอทุกคนต่างไม่ได้รับเชื้อร้ายจากตัวเธออีกด้วย

ชีวิตดีขึ้น
จากนั้นมาชีวิตของเธอก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
เธอมีฝีมือในการทำของชำร่วยต่างๆ เธอเลิกประพฤติตนที่แต่เดิมเคยทำมา
เธอไปขายของที่สวนจตุจักมีรายได้พอที่จะเลี้ยงลูกที่กำลังเรียนอยู่ได้
นอกจากการขายของชำร่วยแล้วเธอได้เป็นอาสาสมัครทำงานกับเด็กในสลัม
ช่วยเหลือคนที่ติดโรคเอดส์ ดูแลเด็กๆที่เป็นลูกของโสเภณี
สอนเด็กๆให้รู้จักการทำความสะอาด สอนให้เด็กร้องเพลง เด็กๆต่างรักเธอ
และเมื่อรู้ว่าเธอเหนื่อยหรือเมื่อยล้าเด็กๆจะพากันมานวดเธอ
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอมีความสุขมากที่ได้ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ชีวิตของเธอจากคนไร้ค่ากลับมามีคุณค่าอีกครั้งหนึ่ง
และถ้าเธอกับครอบครัวไม่ได้มาพบคุณพ่อลูกสาวของเธอจะต้องเสียไปอย่างแน่นอน
และลูกชายก็อาจจะเป็นคนส่งยาบ้าเหมือนเด็กๆในสลัมด้วย


จากขณะที่เธอหอบลูกอายุ 3
เดือนไปฆ่าตัวตายจนขณะนี้ล่วงเลยมาได้ 9 ปีแล้ว
ลูกชายคนนั้นมาอยู่กับพวกเราด้วยเด็กคนนี้กำลังเรียนอยู่ระดับประถมเป็นนัก
กีฬาของโรงเรียนด้วย เธอสารภาพกับพวกเราว่า
เธอเริ่มมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงจังเมื่อปีที่แล้วนี้เอง
เธอแน่ใจว่าพระเจ้าทรงรักเธอผ่านทางชีวิตและการปฏิบัติของคุณพ่ออาดรีอาโน
เธอไม่ได้ต้องการเงินหรือสิ่งของจากคุณพ่อแล้ว
แต่คำสอนที่ออกมาจากชีวิตจริงของคุณพ่อทำให้เธอมั่นใจ
เป็นต้นคำสอนเรื่องศักดิ์ศรีและคุณค่าของชีวิตในฐานะที่เราเป็นลูกของพระ
เจ้า

แม่ลูกคืนดีกัน

ทุกวันนี้เธอสวดภาวนาขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตใหม่ที่เธอได้รับ
วันนี้เธอมาเข้าวัดในวันอาทิตย์และจะย้ายบ้านไปอยู่กับลูกสาวที่ทำงานแล้ว
และมีบ้านแล้วซึ่งแต่ก่อนเธอกับลูกสาวคนนี้ทะเลาะกันแต่ตอนนี้เข้าใจกันและ
ยินดีรับแม่กับน้องๆต่างบิดามาอยู่ด้วยกัน
ถามว่าเธอล้างบาปเป็นคาทอลิกแล้วหรือยัง
เธอตอบว่าตัวเธอและลูกๆยังไม่ได้รับศีลล้างบาปเลย


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #343 เมื่อ: 13 พ.ย. 09, 11:15 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เรื่องการทรงสร้างมนุษย์ ตามทัศนะของศาสนาอิสลาม
(จาก บทความ "บทเรียนจากการสร้างมนุษย์" โดย บรรจง บินกาซัน)


คัมภีร์กุรอานได้บอกเล่าเรื่องราวการสร้างมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจและให้แง่คิดว่า
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาจากดิน
ดินซึ่งคัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ถึงสามลักษณะด้วยกันว่า
ถ้าหากเอาน้ำใส่เข้าไปก็จะกลายเป็นโคลนและถ้าทิ้งไว้ให้แห้งมันก็จะแข็งตัวจนสามารถท
ำให้เกิดเสียงได้

สิ่งที่คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ไม่ได้ขัดกับความจริงเลย เมื่อมนุษย์ตาย
ร่างกายของมนุษย์ก็จะถูกยุ่ยสลายกลายเป็นดินอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งถ้าหากจะเอาดินมาสังเคราะห์ทางเคมีแล้วก็จะพบว่าเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ก็มีแร่
ธาตุและสารประกอบต่างๆที่มีอยู่ในดินเช่นกัน

จากดินธรรมดาที่มนุษย์เดินเหยียบย่ำอยู่บนโลกใบนี้เองที่พระเจ้านำมาใช้สร้างมนุษย์
แต่ก่อนจะลงมือสร้าง
พระองค์ได้ประกาศให้บ่าวและบริวารในอาณาจักรของพระองค์ได้รู้ว่าพระองค์จะสร้างมนุษย
์ขึ้นมาเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทูตสวรรค์ที่เป็นบริวารรับใช้จึงได้ทูลถามว่า
"พระองค์จะสร้างผู้ก่อความเสียหายและหลั่งเลือดบนหน้าแผ่นดินกระนั้นหรือ?"

คำทูลถามของทูตสวรรค์มิได้มีเจตนาจะคัดค้าน
แต่เป็นคำถามที่เหมือนกับทูตสวรรค์จะรู้ว่าที่ไหนมีมนุษย์
ที่นั่นก็จะมีความเสียหายและการหลั่งเลือดกัน จริงหรือไม่
เราก็เห็นกันอยู่

อย่างไรก็ตาม เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินใจที่จะสร้างมนุษย์แล้ว
พระองค์ก็ทรงสร้างมนุษย์คนแรกขึ้นมาในอาณาจักรของพระองค์โดยการเป่าวิญญาณของพระองค์
เข้าไปในดินที่พระองค์ทรงใช้สร้างมนุษย์
ดินที่ไร้ค่าจึงบังเกิดขึ้นมาเป็น "อาดัม" ในบัดดล

การเป่าวิญญาณของพระองค์เข้าไปในดินก็คือ
การถ่ายทอดคุณสมบัติบางส่วนของพระองค์ให้แก่มนุษย์ เช่น
พระองค์ทรงเห็นและทรงได้ยิน
พระองค์ก็ทรงให้มนุษย์มีตาและมีหูเพื่อการมองเห็นและการได้ยิน
เพียงแต่ว่าความสามารถในการมองเห็นและได้ยินของมนุษย์นั้นไม่อาจเทียบเท่ากับพระองค์
ได้
นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังเป็นผู้ทรงเมตตาและผู้ทรงให้อภัย ดังนั้น
พระองค์ก็ประทานคุณสมบัติดังกล่าวนี้ให้เป็นธรรมชาติติดตัวมนุษย์มา
ทั้งนี้
เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ในฐานะตัวแทนของพระองค์และพระองค์จะทรงดูว่ามนุษย์จะใช้คุณสมบั
ติที่ได้รับมาหรือไม่
หรือจะใช้ไปอย่างไร

หลังจากประทานชีวิตและความสามารถแก่อาดัมแล้ว
พระองค์ก็ทรงสอนความรู้ทุกอย่างให้แก่อาดัม
เพื่อที่อาดัมจะได้นำความรู้และความสามารถไปใช้ประโยชน์ในการเป็นตัวแทนของพระองค์บน
หน้าแผ่นดิน
ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นมนุษย์ผู้เป็นลูกหลานของอาดัมมีความรู้มากมายจนสามารถสร้าง
อารยธรรมความเจริญขึ้นบนโลกใบนี้ได้อย่างน่าทึ่ง

เมื่อสอนความรู้ให้แก่อาดัมแล้ว
พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงบัญชาทุกสรรพสิ่งในอาณาจักรของพระองค์ให้กราบสยบนบนอบต่ออาดัม
นั่นหมายความว่านับแต่นี้ไป
ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอยู่ใต้อำนาจความรู้ความสามารถของอาดัม ดังนั้น
ปัจจุบันเราจึงได้เห็นว่ากระแสน้ำอันเชี่ยวกรากในแม่น้ำได้ถูกมนุษย์บังคับให้ไหลไปต
ามคลองชลประทานเพื่อหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรมและพลังของกระแสน้ำได้ถูกนำมาใช้ในกา
รสร้างกระแสไฟฟ้าป้อนสู่ภาคอุตสาหกรรม

คัมภีร์กุรอานกล่าวต่อไปว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาจักรของพระเจ้าล้วนยอมสยบนบนอบต่ออาดัม ยกเว้น
"อิบลีส" หัวหน้าเผ่าพันธุ์ญินเท่านั้นที่ไม่ปฏิบัติตาม
เมื่อถูกพระเจ้าถามว่าทำไมจึงกล้าโอหังปฏิเสธคำบัญชา มันตอบอย่างโอหังว่า
"อาดัมถูกสร้างมาจากดิน แต่ฉันถูกสร้างมาจากไฟ
เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องกราบสยบนบนอบต่ออาดัม"

ความโอหังถือดีว่าชาติพันธุ์ของตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น
จนกล้าฝืนคำบัญชาของพระเจ้านี้เองที่ทำให้มันต้องถูกลงโทษซึ่งมันก็รู้ดี
แต่มันได้ขอต่อพระเจ้าให้ผ่อนผันการลงโทษไว้ก่อนจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลกและมันขอหลอกล
วงลูกหลานของอาดัมตลอดไป
เพื่อที่มันจะพิสูจน์ให้พระองค์ได้เห็นว่าลูกหลานของอาดัมหรือมนุษย์นั้นมีน้อยคนนัก
ที่จะกตัญญูต่อพระองค์

เมื่ออิบลีสได้รับอนุญาตให้หลอกลวง แต่ไม่มีอำนาจบังคับมนุษย์ให้เชื่อมัน
มันก็คอยจ้องหาทางล่อลวงอาดัมและฮาวา (อีฟ) นับตั้งแต่นั้นมา

เนื่องจากอาดัมและฮาวาถูกห้ามเข้าใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
อิบลีสจึงหลอกลวงทั้งสองว่าสาเหตุที่พระเจ้าห้ามเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนั้นก็เพราะเกรงว่
าทั้งสองจะกินผลไม้จากต้นไม้นั้นและจะมีชีวิตนิรันดร
ทั้งสองหลงเชื่อจึงเข้าใกล้ต้นไม้ต้องห้ามและฝ่าฝืนคำบัญชาของพระองค์ด้วยการกินผลไม
้เข้าไป
นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้อาดัมและฮาวาจึงถูกส่งมายังโลกนี้โดยมีอิบลีสติดตามมาด้วย
แต่ก่อนที่จะถูกส่งมายังโลกนี้
อาดัมและฮาวาได้ถูกเตือนว่าอิบลีสหรือมารร้ายจะเป็นศัตรูของทั้งสองตลอดไปจนถึงวันสิ
้นโลก

กรณีฝ่าฝืนคำบัญชาของพระเจ้าโดยอิบลีสเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อให้อาดัมรู้ว่าการฝ่าฝืนพระเจ้าจะต้องได้รับการลงโทษ
อิบลีสมีวิธีการหลอกลวงสารพัดและทันสมัยยิ่งขึ้นตามวิวัฒนาการความเจริญของมนุษย์
แต่มันไม่มีอำนาจบังคับมนุษย์ให้คล้อยตามมัน
ในฐานะที่มนุษย์ได้รับสติปัญญา ได้รับศาสนาที่บอกให้รู้ว่า
อะไรผิดอะไรถูกและได้รับเสรีภาพในการเลือก

ดังนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือกทำลงไป

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 230 วันที่ 24-30 ตุลาคม
พ.ศ. 2552 หน้า 26 คอลัมน์ สันติธรรม โดย บรรจง บินกาซัน

http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=29779






noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #344 เมื่อ: 15 พ.ย. 09, 16:18 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

คริสตจักรต่างนิกายร่วมฉลอง 10 ปีการเห็นพ้องกันในหลักความเชื่อเรื่อง
"การเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ"

1 พ.ย.2009 Christian Post

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คริสตจักรนิกายเมธอดิสท์ ลูเธอแรน
และโรมันคาทอลิก ทั่วโลก ได้ร่วมกันฉลองครบรอบ 10 ปี
การลงนามความเห็นพ้องกันเป็นหนึ่งเดียว
ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งตั้งแต่เหตุการณ์การปฏิรูปคริสตศาสนา

นั่นคือ เหตุการณ์ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 1999 ตัวแทนทั้งจากโรมันคาทอลิก
และสหพันธ์ลูเธอแรนโลก
ได้ลงนามร่วมกันในแถลงการณ์ร่วมเรื่องหลักข้อเชื่อแห่งการเป็นคนชอบธรรม
("the Joint Declaration on the Doctrine of Justification"
ซึ่งทั้งสองนิกายต่างยอมรับตรงกันในหลักข้อเชื่อที่ว่า
"โดยพระคุณเท่านั้น ในการเชื่อในการไถ่ของพระคริสต์
และไม่ใช่เพราะการทำดีใดๆ ของเราเลย
เราได้รับการยอมรับโดยพระเจ้าและได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผู้ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจเรา พร้อมๆ กับที่ทรงเสริมสร้างเรา
และทรงเรียกเราให้ทำการดีต่างๆ"

และไม่เพียงสองนิกายนี้เท่านั้น แต่ต่อมา
สมาชิกของสภาเมธอดิสต์โลกก็ได้ลงมติยอมรับหลักข้อเชื่อที่ว่านี้อย่างเป็นเอกฉันท์ด้
วยในปี
2006 ซึ่งเป็นการร่วมในหลักความเชื่อที่ว่า
การเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อนั้นเป็นเรื่องที่
"เป็นรากฐานและไม่อาจเปลี่ยนได้"
ในการทลายการแบ่งแยกคณะนิกายระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแต๊นท์


หมายเหตุ : ภาพการนมัสการฉลองครบรอบ 10
ปีแห่งการเห็นพ้องกันในหลักความเชื่อเรื่อง
"การเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ"
ในภาพมีทั้งตัวแทนจากคาทอลิก ลูเธอแรน และเมธอดิสต์
ที่วิหารอ๊อกซ์เบิร์ก (Augsburg Cathedral)

http://www.christianpost.com/article/20091101/churches-celebrate-10th-anniversar
y-of-justification-agreement/index.html

(ข่าวคริสตชนขอขอบคุณ ดร.ศิลป์ชัย ที่ส่งข่าวมา)




noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #345 เมื่อ: 18 พ.ย. 09, 13:40 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

อยากได้เงินพันล้านไหม?!


ธวัช เย็นใจ


"ถอดรหัสมรดก ดร. ซุนยัดเซน

เงินมหาศาลออนไลน์ผ่านธนาคาร

ถึงคริสเตียน ๔๐๐ คนเพื่อ UNCDP

๑๘ โครงการพลิกโลกช่วย ๖ พันกว่าล้านคน"

นี่เป็นจั่วหัวจดหมาย(ของใครบางคน)ที่ร่อนมาถึงผมเมื่อวันที่ ๒๖
กันยายน ๒๐๐๙ บอกถึงแก๊งค์ต้มตุ๋นทั้งคนไทยและคนจีนจำนวน ๕ นาย
(ใช้ชื่ออักษรย่อ)
และบอกถึงเหยื่อที่ตกเป็นเครื่องมือเป็นคนที่มีความรู้ระดับดอกเตอร์
นักร้อง นักดนตรี นักธุรกิจคริสเตียน ทนายความ(โดยใช้ชื่ออักษรย่อ
แต่ก็พอรู้กันว่าใครเป็นใคร เพราะคริสเตียนไทยมันวงแคบครับ-ธวัช เย็นใจ)
และสมาชิกโบสถ์ทั่วไป รวมแล้วประมาณ ๔๐๐ คน

เริ่มแผนที่หนึ่ง มีการประชุมกันที่พัทยา
โดยอ้างว่ามีเงินจำนวนแสนล้านของ ดร.
ซุนยัดเซนที่จะโอนมาให้แก่คริสเตียนในประเทศไทย เพื่อนำไปพัฒนาโลก ๖,๐๐๐
ล้านคน ให้มีฐานะและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้มีการมอบสิ่งของมีค่า
(พลอย)ไว้เป็นที่ระลึกด้วย

แผนที่สอง
อาจารย์ผู้รับดำเนินการไปที่บ้านของดอกเตอร์คนหนึ่งเพื่อขอกู้เงินมาดำเนินงานที่คั่
งค้างให้เสร็จ
จากนั้นผู้รับดำเนินการก็ได้เดินทางไปที่ประเทศอินโดนีเซียเป็นเวลาเดือนกว่า
เพื่อเสาะหาแหล่งที่ซ่อนของแหล่งทองคำตามคำสั่ง ใช้เงินหมดไปล้านกว่าบาท
จากนั้นผู้กู้ก็พาผู้ให้กู้ไปที่ฮ่องกงเพื่อเปิดบัญชีรับโอนเงิน ๑,๐๐๐
พันล้าน เงินจำนวนนั้นถูกโอนเข้าบัญชีจริง
แต่เข้าเพียงวันเดียวก็ถูกโอนออกไป (มีเจ้าหน้าที่ธนาคารร่วมแก๊งค์ด้วย)
เมื่อผู้ให้กู้รู้ตัวว่าถูกหลอกจึงตีตัวออกห่าง

แผนต่อมา มีคณะวงดนตรีและนักร้องกว่า ๔๐
คนถูกสั่งให้ตั้งกลุ่มอธิษฐาน จัดประชุมตามโบสถ์ ตามบ้านของคนที่มีฐานะ
ขยายวงกว้างออกไปและเดินสายไปทั่วประเทศ
โดยใช้เงินของดอกเตอร์คนหนึ่งหมดไป

ล้านกว่าบาท เพื่อสร้างความเชื่อถือ
เวลาผ่านไปสองปีโบสถ์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯก็ประกาศรับสมาชิกที่สนใจช่วยเหลือเพื่อนมน
ุษย์ในโครงการ
UNCDP มีจำนวน ๔๐๐ คน
ทั้งศิษยาภิบาลและนักธุรกิจคริสเตียนสมัครโดยกรอกรายละเอียด ชื่อ ที่อยู่
เบอร์โทรศัพท์และสมุดเงินฝากธนาคาร
รายชื่อทั้งหมดจะถูกส่งไปยังประเทศจีนเพื่อรอคำสั่งต่อไป
โดยสมาชิกจะต้องให้สัญญาว่าเมื่อได้รับเงินแล้วจะต้องโอนเงินทั้งหมดคืนให้ผู้ดำเนิน
การ
หากไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินความผิดทางอาญาทันที

ผู้รับดำเนินการยังจัดให้มีการประชุมเป็นประจำกับสมาชิก
บอกว่าถึงเวลาแล้วที่จะมีการโอนเงินจำนวนแสนล้านเข้าบัญชีของคนวงในก่อน
ดังนั้นคณะผู้ดำเนินการจึงเดินทางไปยังเมืองนอกเพื่อรับเงินออนไลน์
โดยจะได้ค่าคอมมิชชั่น ๑๐ เปอร์เซ็นต์
ส่วนแบ่งจะให้แก่ผู้ที่มีรายชื่อในบัญชีทุกคน พร้อมทั้งสั่งทั้ง ๔๐๐
คนมิให้แพร่งพรายความลับนี้ หากไม่เชื่อฟังจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
ขณะเดียวกันก็เปิดรับสมัครสมาชิกใหม่อีก ๑,๐๐๐ คน


เมื่อเดือนกรกฎาคมมีโทรศัพท์ลึกลับจากเมืองจีนเข้ามือถือของคนหนึ่งในกลุ่มรอเงินหนึ
่งพันล้านแล้วเงียบเสียงไป
สักครู่มีคนไทยโทรมาบอกว่าให้โทรเข้าศูนย์ของเขา
เมื่อเจ้าของเบอร์โทรกลับไปที่ศูนย์
ก็มีคนไทยรับสายและบอกว่าจะโอนเงินภาษีส่วนต่างคืนให้ในวันนี้
ซึ่งเป็นวันสุดท้าย ขอให้รีบไปที่ตู้เอทีเอ็ม
แล้วกดปุ่มตามคำสั่งซึ่งล้วนเป็นภาษาอังกฤษที่อ่านไม่ออกและไม่เข้าใจ
แต่ก็ทำตามสั่ง มารู้อีกทีเมื่อเงินในบัญชีหายไปหมดแล้ว

จดหมายฉบับนี้ได้ขอให้ผมช่วยแจ้งให้พี่น้องคริสเตียนอื่นๆทราบด้วย

ผมก็ทำตามที่คุณขอร้องแล้วครับ

วิธีแก้ไขในเรื่องนี้ง่ายนิดเดียว คือถ้าเราไม่โลภเสียอย่าง
ก็จะไม่มีใครมาหลอกลวงเราได้ ตามที่พระเยซูตรัสว่า
"จงเว้นเสียจากความโลภทุกประการ"(ลก. ๑๒.๑๕)


ขอพระเจ้าทรงช่วยคริสเตียนทุกคนให้รอดพ้นจากการสูญเสียทรัพย์โดยไม่ได้ตั้งใจ.

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #346 เมื่อ: 21 พ.ย. 09, 10:37 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

มองกันที่หัวใจ แน่นอนที่สุด

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #347 เมื่อ: 2 ธ.ค. 09, 11:51 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
อย่าเป็นสังคมที่ไร้หลักธรรม
โดย ศจ.สมเกียรติ วรรณศรี


ในสภาวะของสังคมโลกมนุษย์ขณะนี้ กำลังอยู่ในยุคที่มีการค้นพบความรู้ใหม่ๆ
และมีนวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นตามมาอย่างมากมาย ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี
การสื่อสาร วิทยาศาสตร์ การคมนาคม อุตสาหกรรม รวมทั้งระบบเศรษฐกิจ
ระบบการค้าของโลก ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างสุดๆ
นับวันมีแต่จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
และในความครบครันและทันสมัยของเครื่องมือ เครื่องใช้
และเทคโนโลยีต่างๆเหล่านั้น
นอกจากจะมีส่วนผลักดันให้มนุษย์ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอะไรไปจากคนปัญญาอ่อน
ซึ่งแทบจะคิด จะหยิบจับ หรือลงมือทำอะไรๆด้วยตัวเองแทบจะไม่เป็นกันแล้ว
มันยังก่อให้เกิดภาวะแห่งความหลงใหล คลั่งไคล้ ทำให้ผู้คน
(เกือบจะทุกขวบวัย) ต้องใช้ชีวิต "จมปลัก"
อยู่กับสิ่งเหล่านั้นแบบมากเกินความจำเป็น เช่น โทรศัพท์มือถือ
เครื่องคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต รายการโทรทัศน์
และเครื่องเล่นต่างๆที่มีให้เลือกมากมายหลายรุ่นหลากแบบ
ไม่ว่าจะเป็นไอพอต หรือไอโฟน เป็นต้น

โดยแต่ละคนหลงเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นน่าจะเป็นคำตอบ
และเป็นตัวช่วยเติมเต็มชีวิตให้อิ่มสุขได้
แต่เขาลืมไปว่าแท้ที่จริงแล้วความสุขที่แท้จริงของชีวิตอยู่ที่การได้มีเพื่อน
มีคนอยู่ใกล้ๆ อยู่ที่การได้พูดคุย มีคนคอยห่วงหาอาทร ให้ความรัก
มีความเห็นใจให้กันต่างหาก
น่าเสียดายที่ผู้คนในยุคนี้แสวงหาความเป็นส่วนตัวสูงมาก
ชอบที่จะกักขังตัวเองอยู่หลังกำแพงแห่งความพึงพอใจส่วนตัวมากเกินไป
โดยลืมไปว่ายังมีคนเฝ้ารอเขาอยู่ ซึ่งเขาเหล่านั้นต้องการจะพูดคุย
อยากจะสัมผัส อยากจะโอบกอด อยากจะอยู่ใกล้ๆ
และอยากจะให้ช่วยเหลืองานบางอย่างบ้าง ซึ่งคนที่ว่านั้นอยู่ไม่ไกลตัวเลย
อาจจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ ภรรยา สามี หรือลูกๆ หรือคุณปู่ คุณย่า คุณตา
คุณยาย ของท่านด้วยซ้ำไป

ปรากฏการณ์แบบที่ว่านี้ช่างเป็นเหมือนดังที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
"ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง แต่ความอธรรมจะแผ่กว้างออกไป" (มัทธิว
24:12) และการหันเหให้ความสนใจไปผิดทาง
ช่างเหมือนดังที่มีเขียนไว้อีกตอนหนึ่งด้วยว่า "...ในสมัยจะสิ้นยุคนั้น
จะเกิดเหตุการณ์กลียุค เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง
ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม
ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี ทรยศ
มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกมากกว่ารักพระเจ้า ถือศาสนาแต่เปลือกนอก
ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ" (2 ทิโมธี 3:1-5)

เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่า
ถ้าสังคมได้เดินหน้าไปสู่จุดอิ่มตัวในการแสวงหาสัจธรรมหรือหลักธรรมคำสอน
คุณค่าและความหมายของชีวิตก็จะถูกบิดเบือน
ความสำเร็จสูงสุดของมนุษย์ก็จะถูกกำหนดไว้ให้วัดกันที่ความมั่งคั่งร่ำรวย
หรืออำนาจบารมี มิใช่วัดกันที่คุณงามความดีอีกต่อไป
ศักดิ์ศรีความเป็นคนสามารถที่จะซื้อขายกันได้อย่างง่ายดายและด้วยราคาที่ไม่แพงอีกต่
างหาก
นี่ก็คือผลพวงจากการที่สังคมได้ดิ้นรนและค้นหาความสุขแบบผิดที่
มิหนำซ้ำยังมีความเพียรพยายามจะ "ขีดเส้นแบ่ง" หรือ "กีดกัน"
ให้เรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ หรือความเชื่อทางศาสนา
ต้องถอยห่างหรือแยกทางออกไปไกลจากวิถีชีวิตของผู้คน
ด้วยเหตุนี้เมื่อหันหน้ามองไปทางไหน
จึงพบแต่ผู้คนที่ความคิดจิตใจล้วนแต่เต็มไปด้วยความเสื่อมทราม
แม้ว่าเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรมที่ดีงามจะยังเหลือให้เห็นอยู่บ้าง
แต่ก็เจือจางเต็มทน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนเสื่อมทรุดลงแทบจะทุกด้าน
ชนิดที่มารซาตานหรือวิญญาณชั่วร้ายไม่ต้องเสียเวลาออกแรงล่อลวงใครให้เหนื่อยเปล่า
เพราะว่าจิตใจของผู้คนต่างก็กระตือรือร้นและมีความหิวกระหายที่จะประพฤติผิดคิดชั่วแ
ละกระทำตัวเลวทรามเสียเอง

ขอเราอย่าปล่อยให้สังคมไทยต้องเป็นไปอย่างนี้อีกต่อไป
ขอให้เรามาร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีให้กับประเทศนี้กันใหม่
ด้วยการใส่ภูมิคุ้มกันที่ดีๆให้กับเยาวชน (คนรุ่นใหม่)
ดังที่ในพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า "จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป
และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วจะได้ไม่พรากไปจากทางนั้น" (สุภาษิต 22:6)
มิใช่ด้วยคำพูด คำสอน แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ (ในบ้านเมือง)
จะต้องทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเขาเหล่านั้นด้วย
และอยากจะขอให้เรามาช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศในมุมใหม่
มิใช่ด้วยการ "ให้เงิน" หรือ "สร้างงาน" แต่คือการ "เปิดช่องทาง" และ
"สร้างโอกาส"
ให้หลักธรรมคำสอนแห่งพระศาสนาได้เข้าไปสอดแทรกอยู่ในตำรับตำรา
ได้ฝังตัวอยู่ในเนื้อหาของหนังสือที่ใช้เป็นคู่มือการเรียนการสอนให้มากกว่าที่เป็นอ
ยู่กันบ้าง
ทั้งนี้ ก็เพื่อเราจะได้ไม่สูญเสียคนแห่งอนาคตของประเทศไป
และสังคมไทยจะไม่เสื่อมทรุดไปมากกว่านี้ เพราะ "ที่ใดๆที่ไม่มีการเผยธรรม
ประชาชนก็ขาดความยับยั้งชั่งใจเสีย" (สุภาษิต 29:18)
อยากจะให้สังคมเป็นแบบไหน อยู่ที่ใจของท่านเอง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 228 วันที่ 10-16 ตุลาคม
พ.ศ. 2552 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ศจ.สมเกียรติ วรรณศรี
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #348 เมื่อ: 8 ธ.ค. 09, 14:10 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ในหลวงทรงร้องไห้
เมื่อวันที่ 8 มีนา ที่ผ่านมาผมได้ไปงานที่โรงเรียนเหมือนเช่นทุกปี ตอนกลับเดินมาตามตึกยาวเพื่อจะกลับมาทางประตูด้านเพาะช่าง ยังไม่ถึงบริเวณศาลหลวงพ่อปู่ พบอาจาร์ยท่านหนึ่งนั่งอยู่

จำได้ว่าเป็นอาจารย์สุธี ท่านเกษียณไปแล้ว ไม่รู้คุณรู้จักรึเปล่า กราบอาจารย์ท่านแล้ว สังเกตุเห็นว่าอาจารย์ร้องไห้อยู่ ท่านบอก เพิ่งได้พบกับรุ่นพี่ที่มาในงาน รุ่นที่เท่าไหรก้อไม่ได้ถาม เป็นนายทหารราชองครักษ์ชั้นผู้ใหญ่ เค้าเล่าให้อาจารย์ฟังว่า

****ในหลวงทรงร้องไห้เห็นบ่อย****

'ทรงเสียใจที่เมืองไทยจะสิ้นในรัชกาลของท่าน แล้วกระนั้นหรือ'

ผมอยากจะตอบอาจารย์ไปว่าคงไม่หรอก ถ้าคนไทย รู้จำคำว่าว่า'หน้าที่'มากกว่า'สิทธิ'
เราเคยชินกับการเป็น..ผู้รับ...จากคนคนหนึ่งที่เกิดมาเป็น..ผู้ให้...ให้มาตลอด เคยชินจนลืมไปว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วรึยังที่ เราควรจะผู้ให้แก่พระองค์ ท่านบ้าง... ผมลาอาจารย์เรียบร้อยร้อย กลับไปตามตึกยาว ไปไหว้ พระผู้ให้กำเนิดโรงเรียน อธิฐาษขอให้พระองค์ท่านช่วยคุ้มครองให้หลานท่านทรงมีแต่ความสุข..ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง...เพียงแค่ไม่อยากได้ยินว่า
..ในหลวงทรงร้องไห้
ความสุขของพระมหากษัตริย์
หนึ่งปีที่ผ่านมา
เราใส่เสื้อเหลืองเราใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง

คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาทีวันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเราได้ แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์ จักรี และ พระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย

.....สิบสองปีที่ผ่านมา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไปในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระราชชนนีไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือ ม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่ ยังจำกันได้ไหม?
..... 34 ปีที่ผ่านมา

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516

เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด
วันนั้น นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้นตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า
' คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง '

คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า 'คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน'
และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า 'เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น?' ผมไม่ได้ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ (ขออภัยค่ะ! คำนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ) คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่ า พระองค์ทรงเป็น 'SOUL OF THE NATION' หรือ'จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ' ยังจำกันได้ไหม?
แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่
เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด
เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส
เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ 'สิทธิ
' แต่ลืมคำว่า 'หน้าที่'
เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้
เราสร้าง 'กฎหมู่' ให้เหนือ 'กฎหมาย'
เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย
เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน
และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่
เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
จะทรงเสียพระทัยเพียงใด?
แล้วสิ่งที่เราทำไปในวันเฉลิมพระชนมพรรษาคืออะไร การที่เราใส่เสื้อเหลือง สายรัดข้อมือ ที่ว่า Long live The King เราทำเพื่ออะไร
มันเป็นแค่ผักชีโรยหน้าที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคุณรักพระมหากษัตริย ์เพียงใดเท่านั้นนะเหรอ

80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์

พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ
ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้
ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ล้อม
ด้วยข้าราชบริพาร

หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ
เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน
รู้จักความ พอเพียง และมีสติ-เพียงเท่านี้เอง
แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?
หรือนี่คือการแสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของเรา
ถ้ารักในหลวงรักประเทศของเราก็ส่งต่อไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงเวลาที่ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ตอบแทนพระคุณพ่อแล้ว
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #349 เมื่อ: 15 ธ.ค. 09, 09:38 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ข่าวดีที่สุด (ห้องชั้นบน)
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2009 อ่าน โรม
10:4-17

ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า "อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายัง
ท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง" (ลูกา 2:10-11)

อาทิตย์ที่สามของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ
ขณะที่รอฉลองวันประสูติของพระเยซูเจ้า
ดิฉันจะคิดถึงความหมายของการฉลองคริสตมาส ขณะรับประทานอาหารเย็น
ที่บ้านของเราจะอ่านคู่มือภาวนาถึงการรับเสด็จที่คริสตจักรจัดพิมพ์ขึ้น
โดยผลัดกันอ่านแล้วแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และจบลงด้วยการอธิษฐาน

เรื่องพระเยซูทรงบังเกิดในพระกิตติคุณลูกาพูดถึงทูตสวรรค์องค์หนึ่งประกาศว่า
"อย่ากลัวเลย"
ดิฉันก็เหมือนกับคนเลี้ยงแกะที่ต้องการให้เกิดความมั่นใจขึ้นมา ใหม่
ทูตสวรรค์ยังประกาศต่อไปว่า "เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย"
นี่ไม่ใช่ แค่ข่าวดีเท่านั้นแต่เป็นข่าวดีที่สุดที่เคยได้ยินมา
คือพระผู้ช่วยของดิฉันเสด็จมาบังเกิด

ถึงแม้จะมีดิฉันอยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
พระเจ้าก็ทรงมีความรักมากพอที่ จะประทานพระผู้ช่วยให้เป็นของดิฉัน
ทูตสวรรค์ยังพูดถึง "ความปรีดียิ่ง" อีกด้วย แน่ล่ะ
ความปรีดียิ่งนี้เหมาะที่สุดสำหรับพูดถึงความสุขและความชื่นใจอันบริสุทธิ์
ความยินดีนี้เป็นของประชากรโลกทุกคน

เราถูกท้าชวนให้เป็นทูตสวรรค์นำข่าวดีไปประกาศแก่ทุกคนที่อยู่ใกล้
ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า
เราแต่ละคนสามารถประกาศข่าวที่น่ายินดีนี้ได้ด้วยการเชิญมิตรสหาย
เพื่อนบ้าน และคนที่เรารักให้ไปโบสถ์
หรือนำขนมไปมอบให้คนที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน
หรือโทรศัพท์ไปหาบางคนที่ไม่ได้พูดกันมานานแล้ว
หรือซื้อกาแฟและอาหารให้คนไร้ที่อยู่อาศัย
เรามีข่าวดีที่สุดที่เคยประกาศกันมาก่อนแล้วคือ "พระผู้ช่วยให้รอด
พระคริสต์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบังเกิดแล้ว"

อธิษฐาน พระบิดาเจ้า
โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ทั้งหลายนำข่าวดีที่สุดที่เคยได้ยิน
ไปบอกทุกคนที่พบเห็น อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

ข้อคิดสำหรับวันนี้ จงแบ่งปันข่าวดีที่สุด คริสตีน คาล์มบัค
(เทกซัส)

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #350 เมื่อ: 21 ธ.ค. 09, 14:16 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ความหมายของวันคริสต์มาสต่อชีวิตของผม

โดย มนตรี ศรไพศาล

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 ธันวาคม 2549 17:15 น.


ผมได้รับเชิญให้ไปบรรยายหัวข้อ "ความหมายของวันคริสต์มาสต่อชีวิตของผม"
ให้กับนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ผมบรรยายถึงพระพรแรกที่ผมได้รับ คือตอนที่ผมได้มีโอกาสไปค่ายคริสเตียน
เมื่อผมอายุประมาณ 11 ขวบ (ป. 6) ผมได้เห็นผู้คนมากมาย

ผมสังเกตว่า สังคมนี้เป็นสังคมที่มีแต่ความสุข ชื่นชมยินดี
สรวลเสเฮฮา โดยไม่มีสุราหรืออบายมุขใดๆ และที่สำคัญที่สุด
เป็นสังคมที่รักกัน จริงใจต่อกัน ตั้งแต่นั้น ผมก็ตัดสินใจว่า นี่แหละ
ชีวิตที่ผมอยากจะเป็น
นี่แหละสังคมที่ผมอยากจะอยู่และอยากจะเห็นอย่างกว้างขวาง

พี่เลี้ยงของผมในค่ายบอกว่า
ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงในทางของพระเจ้าได้ด้วยความเชื่อ "เชื่อแล้วจึงเห็น
ไม่ใช่เห็นแล้วจึงเชื่อ" ผมจึงได้ตัดสินใจเชื่อในพระเยซูคริสต์
ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า
เสด็จลงมาสละชีวิตของพระองค์เพื่อไถ่บาปแทนเรา ความเชื่อนี้ นำมาสู่
"ความหมาย" และ "พระพรอันยิ่งใหญ่" แห่งเทศกาลคริสตมาสอย่างน้อย 3 ประการ
คือ

1)ความสุข ชื่นชมยินดี (Joy) เวลาเราได้รับสิ่งของต่างๆ
จากผู้ใหญ่ เรามีความสุขใจ ในสิ่งของที่ได้รับ รวมถึงภาคภูมิใจ ชื่นใจ
และซาบซึ้งในพระคุณของผู้ใหญ่ท่านนั้น

"สิ่ง" ที่เราได้รับนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด มีค่าที่สุด นั่นคือ
"ชีวิต" พระองค์ทรงสละ "ชีวิต" ของพระองค์ เพื่อไถ่ "ชีวิต"
ของเราจากโทษของความบาป และความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์
คือพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ที่มาประสูติในพระภาคพระบุตร ทำให้เราซาบซึ้งใจ
และเป็นสุขใจได้เสมอในทุกสถานการณ์อย่างเข้มแข็งจริงๆครับ

เหมือนดังที่ ลีนา มาเรีย นักร้องชาวสวีเดน เธอเกิดมาไม่มีแขน
ขาข้างหนึ่งสั้นครึ่งหนึ่งของขาอีกข้างหนึ่ง
แต่เธอร้องเพลงได้อย่างมีพลังและมีความสุข เธอบอกว่า
"สิ่งที่ทำให้เธอมีความสุข และมีพลังอยู่ได้
คือความซาบซึ้งในพระคุณของพระเยซูคริสต์
ที่ได้ทรงสละชีวิตเพื่อไถ่ชีวิตของเธอ"

พระเจ้าทรงสร้างโลกมาอย่างดี สร้างมนุษย์มาอย่างดี
เมื่อทรงสร้างเสร็จแล้ว ทรงเห็นว่า "ดีนัก"
และทรงมอบสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างให้มนุษย์ครอบครอง
แต่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างไม่เชื่อในพระองค์
ไม่รู้สึกว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและมอบให้เราแต่ละคนนั้น "ดีนัก"

มนุษย์อาจเลือกที่จะ "ไม่เชื่อ"
ซึ่งเมื่อเราไม่เชื่อว่าโลกนี้ถูกสร้างมา "ดีนัก"
ไม่เชื่อว่าชีวิตเรานั้นถูกสร้างมา "ดีนัก"
ก็เป็นการมองโลกอย่างเป็นทุกข์ และมองชีวิตอย่างเป็นทุกข์
ชีวิตก็อาจจะเป็นทุกข์ และสับสนได้

แต่มนุษย์ก็อาจเลือกได้ที่ "เชื่อ" เช่นนั้นว่า โลกนี้ดีนัก
และเป็นโลกแห่งความสุข เช่นเดียวกับที่ลีนา มาเรีย
เธอมีความสุขได้มากกว่าหลายๆคน ทั้งที่ชีวิตเธอก็ขาดหลายสิ่ง
แต่เธอเลือกที่จะสุขชื่นชมยินดีในอีกหลายๆสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้เธอมากกว่า

2)สันติสุข (Peace) แม้พระองค์ทรงสร้างทุกอย่างมาอย่างดี
อาดัมกับอีวา กลับไม่เชื่อในพระองค์ และมนุษย์หลายๆรุ่นที่ผ่านมา
ก็ได้ทอดทิ้งพระองค์ แต่พระองค์ ยังทรงให้พระอาทิตย์ส่องสว่างกับเราทุกคน
ฝนตกให้น้ำกับทุกๆคน เรายังมีอากาศที่ดีอยู่เสมอ
(เว้นแต่ที่มนุษย์ทำลายเอง) แต่สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำคือ
ทรงมาประสูติในรางหญ้า เพื่อให้รู้ว่า พระคุณของพระองค์มาถึงทุกๆคน

คนทุกคนควรมองค่ากันที่ชีวิต ทรัพย์สมบัติที่แตกต่าง
ไม่ได้ทำให้คุณค่าของชีวิตคนแตกต่างกันไป
แล้วพระองค์ทรงรับโทษบาปของมนุษย์แทนเราบนไม้กางเขนอย่างยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงเป็นผู้ "ริเริ่ม" มาคืนดีกับมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง
ทรงเป็นแบบอย่างของความรักเมตตา และการให้อภัยอย่างสูงส่งจริงๆ

ดังคำสอนขององค์พระเยซูคริสต์ว่า "หากท่านทั้งหลายมีปัญหาต่อกัน
จงไปคืนดีกันก่อน ก่อนมาหาพระองค์" พระองค์ทรงให้คุณค่ากับความรัก
และความสัมพันธ์ ทรงรู้ว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีสุข และที่ๆความรักหายไป
ที่นั่นก็เป็นทุกข์ จึงทรงเป็นแบบอย่างแห่งการ "คืนดี" ด้วยความจริง
และชีวิต ดังที่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
เมื่อชีวิตให้ความสำคัญกับการคืนดี ก็จะมีแต่สันติสุขในชีวิตตลอดไป

3)ความรัก (Love) ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
เมื่อเรานึกรักใครเราก็มีความสุข เมื่อเรานึกไม่รักใครเราก็มีความทุกข์
หลักการที่ว่า พระเจ้าเป็นความรักจึงมีความหมายอย่างยิ่งต่อเราทุกคน


****
ผมเชื่อในพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า
เสด็จลงมาสละชีวิตของพระองค์เพื่อไถ่บาปแทนเรา

ความเชื่อนี้ นำมาสู่ "ความหมาย" และ "พระพรอันยิ่งใหญ่"
แห่งเทศกาลคริสต์มาสอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1) ความสุข ชื่นชมยินดี Joy
2) สันติสุข Peace และ ครั้งนี้ผมจะพูดถึงพระพรยิ่งใหญ่ประการที่ 3) คือ
ความรัก Love ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
เมื่อเรานึกรักใครเราก็มีความสุข เมื่อเรานึกไม่รักใครเราก็มีความทุกข์
เรารักคนที่ดีกับเราก็เป็นเรื่องปกติสามัญที่อย่างน้อยก็ควรมี
แต่หากเรารักคนอื่นได้ด้วยแม้เราน่าจะรู้สึกว่าเขาไม่น่ารักย่อมเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
เราจึงยกย่องคนที่ให้ความรักกับผู้ด้อยโอกาสที่อาจไม่สามารถตอบแทนอะไรได้

คนในยุคนั้นมีความบาป คือความเห็นแก่ตัว ความโกรธ ความอิจฉาริษยา
และนำไปสู่ความคิดร้ายและทำร้ายกัน ชีวิตคนยุคนั้นจึงเป็นทุกข์
(แต่ในยุคนี้ ก็ยังคล้ายๆกัน) ในช่วงท้าย พวกเขาได้เฆี่ยนตีพระองค์
ตอกมือของพระองค์ สวมมงกุฎหนามพระองค์ ตรึงพระองค์บนไม้กางเขน
เยาะเย้ยถากถางดูถูกพระองค์ นั่นคือผลความบาปของคนบาปในยุคนั้น
เพราะพระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์ สอนให้คนมีความสุขใจ
ชื่นชมยินดีในชีวิต ให้รักกันดีต่อกัน


แต่พระองค์ทรงสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อบรรดาผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจแห่งความบาปทั้งปวง
ทั้งความโกรธ ความอิจฉา ความเห็นแก่ตัว ฯลฯ
เหล่านั้นที่ได้ทำร้ายพระองค์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ
โดยก่อนสิ้นพระชนม์นั้น พระองค์ทรงอธิษฐานว่า "พระบิดา
โปรดประทานอภัยพวกเขาเถิด เขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร"
เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ จนทหารโรมันซึ่งอยู่ในที่นั้นต้องเอ่ยปากว่า
"จริงๆแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า"

ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ
พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นตามคำสอนของพระองค์ว่า มนุษย์ทั่วไปมักจะคิดเพียง
"ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" "ฉันถูก เธอผิด" จึงเป็นเหตุให้คนไม่รักกัน
องค์กรขาดความสามัคคี หรือคู่รักที่เลิกรักกัน เพราะฝ่ายหนึ่งถูก
ฝ่ายหนึ่งผิดหรือ

ผมเห็นคู่ที่ขัดแย้งกันทั่วไป คิดแต่เพียงว่า "ฉันถูก เธอผิด"
ซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็คิดว่า "เขาถูก เราผิด" เหมือนกัน
จึงเป็นผลให้เลิกรักกัน พระองค์จึงทรงสำแดงให้เห็นว่า
พระองค์ไม่ได้เอาชนะมนุษย์โดย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ทรงเอาชนะความโกรธ
ให้ความรักแทน


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #351 เมื่อ: 19 ม.ค. 10, 09:03 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
พระเจ้าทรงสนพระทัยผู้ที่ทรยศต่อพระองค์
โดย พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร

"เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล
พระเจ้าตรัสกับเขาว่า...นี่คือบุคคลที่เรากล่าวไว้กับท่าน
เขาจะปกครองประชากรของเรา..." (1ซามูเอล 9:17)

คุณ พ่ออังรี นูเวน นักเขียนหนังสือศรัทธาลือชัย
เล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่นั่งรำพึงอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแกนเยสของอินเดีย
เขาเห็นแมงป่องลอยมากับสายน้ำเชี่ยว และไปติดอยู่ที่รากไม้ริมฝั่งแม่น้ำ
เขาจึงยื่นมือไปช่วย แต่ทุกครั้งที่เขาจับตัวมัน มันก็จะต่อยเขา
คนที่ผ่านมาเสนอให้เขาฆ่าแมงป่องตัวนั้น แต่ชายคนนั้นตอบว่า
"ในเมื่อเป็นธรรมชาติของแมงป่องที่จะต่อย
ฉันจะต้องสลัดธรรมชาติของฉันที่จะช่วยเหลือ ทิ้งไปทำไม?"

ในบทอ่านจาก พันธสัญญาเดิม ที่เรานำมาพิจารณานี้
เป็นตัวอย่างที่ดีถึงพระธรรมชาติของพระเจ้า ที่จะทรงช่วยให้รอดพ้นนั้น
ไม่มีวันสิ้นสุดลง แม้ว่าประชาชนจะยึดมั่นอยู่กับธรรมชาติที่จะกระทำบาป
และกระทำผิดต่อพระองค์ ประชาชนเรียกร้องให้มีกษัตริย์
แม้ประกาศกซามูเอลจะไม่เห็นด้วย
พระเจ้าทรงสั่งให้ซามูเอลมอบกษัตริย์ให้แก่พวกเขา
แม้ว่าการขอร้องครั้งนี้เป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่า
พวกเขากำลังปฏิเสธพระองค์ หากเราอยู่ในสภาพดังกล่าว
เราคงคิดที่จะปล่อยพวกเขาให้กระทำสิ่งที่เขาต้องการ
แต่พระธรรมชาติของพระเจ้ามิได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องการกษัตริย์
พระองค์ทรงจัดให้กับพวกเขา แม้เราหลงไปจากหนทางของพระเจ้า
พระเจ้าก็ยังทรงสนพระทัยและทรงแนะนำเรา

เรื่องนี้อาจเป็นกำลังใจให้ แก่เรา
ธรรมชาติของมนุษย์มักจะไปไม่ถึงมาตรฐานของพระเจ้า
ไม่ว่าเราจะพยายามมากสักเพียงใด แต่เราก็จะได้รับความมั่นใจว่า
พระธรรมชาติของพระเจ้าคือการให้อภัย ยิ่งไปกว่านั้น
พระองค์ยังทรงช่วยเราให้ได้รอดพ้น
และฟื้นฟูจิตใจของเราให้เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความรักอันเปี่ยมด้วยความ
อดทนของพระเจ้า
และตั้งใจแน่วแน่ว่าเราจะตอบสนองพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความจริงใจ

บท อธิษฐานภาวนา : ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงพระทัยเมตตา
ลูกขอบพระคุณพระองค์ที่มิได้ทรงทอดทิ้งลูก
เมื่อลูกหลงทางและแหวกแนวไปจากหนทางของพระองค์
โปรดทรงประทานอภัยโทษแก่ลูก โปรดทรงฟื้นฟูลูก เดชะพระจิตของพระองค์
โปรดทรงประทับอยู่กับลูกอย่างใกล้ชิดตลอดชีวิตของลูก
เดชะพระบารมีของพระคริสตเจ้าด้วยเทอญ อาแมน

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 242 วันที่ 16-22 มกราคม
พ.ศ. 2553 หน้า 24 คอลัมน์ ข้อคิดจากพระคัมภีร์ โดย พระคุณเจ้ายอด
พิมพิสาร

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #352 เมื่อ: 26 ม.ค. 10, 10:54 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

พระเจ้าหรืออัลเลาะห์!
โดย อาจารย์ ธวัช เย็นใจ

ฝรั่งเรียกว่า "กอด" (God)

คนยิวเรียกว่า "เยโฮวาห์" (Jehovah)

มุสลิมเรียกว่า "อัลเลาะห์"

คนเกาหลีเรียกว่า "ฮะนานิม"

คนเย้าเรียกว่า "ทินฮุ่ง"

คนไทยเรียกว่า "พระเจ้า"

ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา
หนังสือพิมพ์และทีวีได้รายงานข่าวที่น่าเศร้าเกิดขึ้นในประเทศมาเลเซีย
(ซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม)
เมื่อรัฐบาลประกาศอนุญาตให้ชาวคริสต์เรียกพระนามพระเจ้าของตนเองว่า
"อัลเลาะห์" ได้ เท่านั้นแหละครับเกิดปฏิกิริยาต่อต้านอย่างใหญ่หลวงทันที
(ที่จริงได้มีการใช้พระนามนี้มานานแล้ว
เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการเท่านั้น)

ผู้คนไม่พอใจและลุกฮือขึ้น
เพราะไม่อยากให้ชาวคริสต์ไปใช้พระนามของพระเจ้าร่วมกับเขา!

โบสถ์ของชาวคริสต์ถูกทุบ เผา ทำลาย และถูกขว้างด้วยระเบิดเพลิง
ขณะที่เขียนอยู่นี้คริสตจักรถูกทำร้ายไปแล้ว ๑๗ แห่ง
พี่น้องชาวคริสต์จำนวนมากต้องอยู่ท่ามกลางความวิตกและหวาดกลัว
ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

มีคำกล่าวว่า "โลกของเราทุกวันนี้
มนุษย์มีศาสนามากพอที่จะทำให้ฆ่ากันได้
แต่มีไม่มากพอที่จะทำให้รักกันได้!"

หลายฝ่ายวิตกว่าจะลุกลามเป็นความขัดแย้งใหญ่โต และกลายเป็น
"สงครามศาสนา" รอบใหม่ไป


ที่จริงปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาสนาคริสต์กับมุสลิมในมาเลเซียสามารถแก้ไข
โดยยึดถือตามหลักคำสอนของพระคัมภีร์ พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
"จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" (มธ. ๒๓.๓๗-๓๘) ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน
แน่นอน เราย่อมไม่ทำร้ายหรือทำลายผู้อื่น พระองค์ทรงสอนอีกว่า
"ฝ่ายเราบอกแก่ท่านว่า
จงรักศัตรูของท่านและอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน" (มธ. ๕.๔๓)

เปาโลก็บอกแก่ผู้เชื่อว่า "ส่วนการให้เกียรติแก่กันและกันนั้น
จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตน" (รม. ๑๒.๑๐) นี่ก็เช่นกัน
หากเราถือว่าตนเองดีกว่าคนอื่นซะแล้ว
ก็ย่อมจะยกตนข่มท่านและพูดจากันไม่รู้เรื่อง พระคัมภีร์ยังบอกอีกว่า
"จงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงให้พร
อย่าแช่งด่าเลย...อย่าทำชั่วตอบแทนความชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย
แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆเห็นว่าดี" (รม. ๑๒.๑๒.๑๔,๑๗)

เปโตรได้บอกถึงจุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงเรียกคริสเตียนมา
ไม่ใช่เพื่อการต่อสู้และรับคำแช่งสาป "อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย
อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา
ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกท่านให้กระทำเช่นนั้น
เพื่อท่านจะได้รับพระพร" (๑ ปต. ๓.๙)

วิธีการแก้ไขในเรื่องนี้

ประการแรก ถ้าเขาไม่อยากให้เราใช้พระนามว่า "อัลเลาะห์"
ในการเรียกชื่อของพระเจ้า เราคริสเตียนก็ไม่ต้องใช้
เลี่ยงไปใช้พระนามอื่นแทนเสียก็สิ้นเรื่อง!

โลกนี้ไม่ได้จำกัดด้วยภาษา จนกระทั่งจำเป็นต้องมาใช้คำเดียวกัน

อย่าให้เราต้องมาขัดแย้งและทำลายกันด้วยแค่ชื่อของพระเจ้าเลยครับ

ประการที่สอง อย่าต่อสู้กัน แต่จงวางเฉย เหมือนที่คนพูดไทยพูดว่า
"แพ้เป็นพระ" นั่นแหละ

ประการที่สาม อธิษฐานเผื่อและให้อภัย
เหมือนดังที่พระเยซูทรงอธิษฐานเมื่อทรงอยู่บนไม้กางเขน พระองค์อธิษฐานว่า
"ขอทรงโปรดให้อภัยเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป"

ประการที่สี่ ขอให้ชาวคริสต์ในมาเลเซียจงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก
ในการถูกกดขี่ข่มเหง
เพราะเวลานี้เป็นช่วงของการทดสอบความเชื่อและหล่อหลอมจิตวิญญาณของพวกท่านอยู่
พระคัมภีร์บอกว่า "เพราะเราเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว
เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา
เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยาก
เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความอดทน
ความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าใช้การได้" (รม. ๕.๑-๔)

ประการที่ห้า มั่นใจว่าจะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
ตามพระสัญญาที่ว่า
"พระเจ้าทรงช่วยผู้ที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง
คือคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์" (รม. ๘.๒๘)

คริสเตียนที่รัก
ยังมีคำอีกมากมายก่ายกองที่จะนำมาเรียกพระนามของพระเจ้าได้
เช่นในภาษาฮีบรูมีพระนามเยโฮวาห์ พระนามเอล เอลชชัดดาย
หรือเอลโลฮิมและอีกหลายต่อหลายพระนาม ในภาษาไทยก็มีพระนามพระเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าเหนือหัว ผู้สูงสุด
กษัตริย์แห่งสวรรค์ ฯลฯ ซึ่งแล้วแต่เราจะนำมาใช้ได้ตามโอกาสและความเหมาะ

เหมือนในประเทศไทยสมัยหนึ่ง นิกายคาทอลิกได้นำคำว่า "พระสงฆ์
สามเณร บิณฑบาต" มาใช้และเกิดแรงต้านจากชาวพุทธบางกลุ่ม
และมีการใช้คำเหล่านี้ในพระคัมภีร์ฉบับประชานิยมด้วย
ตอนหลังซาๆไปไม่เห็นใช้คำทับศัพท์ของชาวพุทธอีก
เพราะชาวไทยที่เป็นคริสต์เองก็ไม่อยากจะไปใช้คำที่ "สวมรอย"
ศาสนาอื่นเช่นกัน ต่อมาก็เห็นมีการเปลี่ยนแปลงชื่อต่างๆ
เช่นจากยะซายามาเป็นอิสยาห์ ยิระมายาเป็นเยเรมีย์ มัทธายมาเป็นมัทธิว
โยฮันมาเป็นยอห์น ฯลฯ

แม้กระทั่งปัจจุบันการเปลี่ยนชื่อพระเจ้า(ในพระคัมภีร์ภาษาไทย)
มาเป็น "ยาเวห์" นี่ไม่ได้เปลี่ยนเพราะ การต่อต้านและข่มเหง
แต่เป็นการเปลี่ยนโดยไม่มีเหตุผลอันควรมารับรอง
ซึ่งก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน เช่นที่สมาคมพระคริสตธรรมไทยกำลังทำอยู่

แต่ไหนแต่ไรมา เราใช้คำว่า "พระเจ้า" มาตลอดนับร้อยๆปี
เป็นที่เข้าใจได้ในหมู่คนไทยว่า คำนี้หมายความว่าอะไร
แต่จู่ๆวันหนึ่งก็มีการบัญญัติคำใหม่ขึ้นว่า "ยาเวห์"
ซึ่งคำนี้มาจากภาษาฮีบรูที่แปลว่า "พระเจ้า" นั่นแหละ
หลายคนก็ให้สงสัยว่า เปลี่ยนทำไม? เพราะคำเดิมมีความหมายที่ดีอยู่แล้ว!

คริสเตียนครับ เราควรตระหนักว่า
ถ้อยคำอะไรที่มันก่อเกิดความขัดแย้งในกลุ่มชน
เราควรจะพิจารณาเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นมีความหมายอย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงและใช้แทนกันได้
เพื่อเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
และจะมีโอกาสนำข่าวประเสริฐของพระเยซูเข้าไปในยังกลุ่มชนนั้น
โดยปราศจากอุปสรรคขัดขวาง
และเพื่อนำคนเหล่านั้นมาถึงความรอดและสันติสุขในพระคริสต์.


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #353 เมื่อ: 2 ก.พ. 10, 09:54 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553 มติชนออนไลน์

ผลจัดอันดับชี้"ออสเตรเลีย"เป็นคนบาปที่สุดในโลก-สหรัฐ จอมตะกละ
เกาหลีใต้ติดแชมป์"ราคะ"

เว็บไซต์"นิวส์ คอม"ของออสเตรเลีย รายงานว่า นิตยสาร"Focus"ของอังกฤษ
ได้ทำการจัดอันดับประเทศที่ติดกลุ่มทำบาป 7 ประการ มากที่สุดในโลก
จากจำนวน 35 ประเทศ พิจารณาจากพฤติกรรมของประชากรและแนวโน้มของประเทศนั้น
ๆ โดยพบว่า ชาวออสเตรเลีย เป็นประเทศที่ติดอันดับเป็นคนบาปที่สุดในโลก
โดยติดอันดับหนึ่งในบาปประเภทอิจฉา และติดอันดับสาม ในบาปประเภท ราคะ
และตะกละ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มสำรวจ ที่ติดอันดับหนึ่งของการทำบาป
7 ประการอื่น ๆ ได้แก่ เกาหลี (ราคะ)สหรัฐ(ตะกละ)เม็กซิโก(โลภะ)ไอซ์แลนด์
(เกียจคร้าน และยะโส) แอฟริกาใต้(โทสะ)และออสเตรเลีย (อิจฉา)

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยาระบุว่า สหรัฐ แคนาดา และออสเตรเลีย
ล้วนเป็นประเทศที่มีประชากรอ้วนที่สุดของโลก
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศเหล่านี้จะติดอันดับหนึ่งในบาป 7
ประการตามพระคัมภีร์ไบเบิล

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #354 เมื่อ: 9 ก.พ. 10, 12:12 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เหตุบังเอิญหรือน้ำพระทัย

นำเสนอโดย... สิริโรจนา


บิดาของคุณแม่ข้าพเจ้าทำงานเป็นช่างไม้
วันหนึ่งคุณตาทำลังไม้สำหรับใส่เสื้อผ้าบริจาคให้โบสถ์เป็นการกุศล
เพื่อส่งไปช่วยเหลือสถานกำพร้าแห่งหนึ่งในประเทศจีน

ระหว่างทางกลับบ้าน ท่านเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อควานหาแว่นตา
แต่ไม่เจอ
เมื่อทบทวนความทรงจำ ท่านแน่ใจว่า
แว่นตาได้หลุดออกจากกระเป๋าเสื้อโดยไม่รู้ตัวหล่นเข้าไปในลังไม้อันหนึ่ง
ซึ่งท่านได้ตอกตะปูปิดเสร็จเรียบร้อย
เป็นแว่นตาใหม่เอี่ยมพึ่งซื้อจากร้านกำลังเดินทางไปเมืองจีน

สมัยนั้นเกิดข้าวยากหมากแพง เงินทองขัดสน คุณตามีลูกทั้งหมด 6 คน
เช้าวันนั้น
ท่านได้จ่ายเงินประมาณหนึ่งพันบาทเพื่อซื้อค่าแว่นตาใหม่
ท่านหัวเสียอารมณ์ไม่ดีที่แว่นตาคู่ใหม่ได้สูญหาย
ท่านขับรถกลับบ้านอย่างหงุดหงิด และบ่นกับพระเจ้าว่า "ไม่ยุติธรรมเลย
ลูกได้สละเวลาและเงินเพื่องานกุศล แล้วก็เกิดเรื่องอย่างนี้"

หลายเดือนผ่านไป ผู้ดูแลสถานกำพร้าในจีนแห่งนั้นได้กลับมายังอเมริกา
เขาอยากไปเยี่ยมเยียนทุกโบสถ์
ที่ส่งสิ่งของและเงินไปช่วยเหลือเขาในประเทศจีน
ฉะนั้น วันอาทิตย์หนึ่งเขาได้มาปราศรัยที่โบสถ์เล็ก ๆ
ของคุณตาในเมืองชิคาโก

เขาเริ่มต้นด้วยการขอบคุณพี่น้องคริสตชนที่ให้ความช่วยเหลือแก่สถานกำพร้าที่ตนดูแลอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
และพูดว่า "แต่ สิ่งสำคัญที่สุด
ข้าพเจ้าต้องขอบคุณสำหรับแว่นตาที่ท่านอุตส่าห์ส่งไปให้เมื่อปีที่แล้ว
ข้าพเจ้ากำลังต้องการอยู่พอดี"

: )


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #355 เมื่อ: 14 ก.พ. 10, 14:54 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ความสำคัญในการวางแผนงาน
โดย ศจ.ดร.ธีระ เจนพิริยประยูร


การวางแผนงานมีความสำคัญมากต่องานทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นงานทั่วไปหรืองานของคริสตจักรหากต้องการจะให้งานที่ทำเกิดผลสูงสุดแล้ว
คำกล่าวที่ว่า "ถ้าคุณล้มเหลวในการวางแผน
คุณก็กำลังวางแผนที่จะล้มเหลว" ( If you fail to plan, you are planning
to fail) น่าจะเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง

การวางแผนทำให้เรามีจุดหมายปลายทางที่ชัด มีทิศทางในการทำงาน
มียุทธวิธีขั้นตอนต่างๆรวมทั้งการสรรหาทรัพยากรที่จำเป็น การตรวจสอบดูแล
การกำหนดบุคลากร เวลา เพื่อจะทำให้แผนงานนั้นบรรลุเป้าหมาย

พระเจ้าของเราทรงเป็นนักวางแผน
เมื่อพระองค์ทรงให้ผู้นำอิสราเอลสร้างพลับพลา
พระเจ้ามิได้ทรงให้พวกเขาลงมือทำทันที
แต่ทรงบอกแผนงานที่ละเอียดมากให้แก่ผู้นำอิสราเอล
พร้อมทั้งทรงจัดเตรียมบุคคลากรที่เหมาะสมในการก่อสร้างด้วย

พระธรรมสุภาษิตหลายข้อสนับสนุนการวางแผน เช่น
"แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า" (สภษ.
16: 1 ดู15: 22, 16: 3, 9)

พระเยซูคริสต์ทรงมีการวางแผน
เมื่อพระองค์ทรงมอบพระมหาบัญชาของพระองค์ให้แก่พวกสาวก (มัทธิว 28:18-20)
จากพระมหาบัญชาเราเห็นจุดประสงค์ที่ชัดเจน
ขั้นตอนในการบรรลุจุดประสงค์และทรัพยากรที่จำเป็นในการสร้างสาวก

หากเราศึกษาการทำงานของอาจารย์เปาโล
จะสังเกตได้ว่าท่านก็วางแผนชัดเจนในการเดินทางประกาศของท่าน เช่น
ความตั้งใจอันแน่วแน่ของท่านที่จะไปยังเยรูซาเลม
ในการเดินทางประกาศเที่ยวที่ 3 แม้จะมีการคัดค้านจากพี่น้องคริสเตียน
(กิจการ 21:1-14) การเดินทางไปกรุงโรมและประเทศสเปน (โรม15:24) เป็นต้น

การวางแผนงานไม่ได้หมายความว่าเราไม่พึ่งการทรงนำของพระวิญญาณ
การวางแผนที่ดีและถูกต้องของคริสเตียนควรเป็นการวางแผนโดยการพึ่งการทรงนำของพระวิญญาณและฟังเสียงตรัสของพระวิญญาณอย่างใกล้ชิดเสมอ

สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือบางครั้งอาจมีคนที่อ้างว่า
"แล้วแต่พระวิญญาณทรงนำ" แล้วไม่ใช้ความคิดการพิจารณาอย่างสุขุมรอบคอบ
และการอธิษฐานอย่างเพียงพอ จนกลายเป็นการไม่รับผิดชอบ
ขาดความเอาใจใส่ปฏิเสธสติปัญญาที่พระเจ้าทรงประทานจนสิ่งที่จะทำมิได้เป็นการทรงนำของพระวิญญาณอย่างแท้จริง
และนำไปสู่ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

แน่นอนเราต้องมีแผนงาน แต่ถ้าเราพึ่งในการทรงนำของพระวิญญาณอย่างแท้จริง
เราต้องพร้อมจะปรับเปลี่ยนดัดแปลงและยืดหยุ่น
หากพระวิญญาณทรงโปรดนำให้เราทำแตกต่างจากแผนงานที่ได้วางไว้แล้ว

เหมือนอาจารย์เปาโลที่พระวิญญาณทรงห้าม มิให้ไปประกาศที่แคว้นเอเชีย
ตามแผนงานเดิม แต่ทรงเปิดประตูใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมให้
โดยให้ไปที่แคว้นมาซิโดเนีย (กิจการ 16:6-10)

ฉะนั้น การวางแผนจึงไม่ได้ขัดกับการทรงนำของพระวิญญาณ แต่ขอให้ระมัดระวัง
เมื่อเราพูดว่า "แล้วแต่การทรงนำของพระวิญญาณ"

บทความจากคริสตจักรใจสมาน

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 237 วันที่ 12-18
ธันวาคม พ.ศ. 2552 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ศจ.ดร.ธีระ
เจนพิริยประยูร


http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=31655


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #356 เมื่อ: 21 ก.พ. 10, 14:10 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
มิตรภาพบรรเทาทุกข์
โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์


"มิตรภาพ ทวีความยินดีเป็นสองเท่า
และทอนความโศกเศร้าให้ลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง"("Friendship doubles joy
and halves grief") - Egyptian Proverb -

ในทุกๆที่ที่มีคริสเตียน จะมีเสียงเพลงที่ซาบซึ้งตรึงใจซึ่งพรรณนาถึง
"มิตรภาพ" และเป็นที่รู้จักชื่นชอบกันทั่วโลกบทหนึ่งคือเพลง
"มีสหายเลิศคือพระเยซู" (What Friend We Have In Jesus)

ผู้ประพันธ์บทเพลงชื่อก้องโลกนี้คือ โจเซฟ สกรีเวน (1820-1886)
ผู้กลั่นกรองบทเพลงไพเราะบทนี้ออกมาจากหัวใจที่เจ็บปวดรวดร้าว
เพราะท่านต้องสูญเสียคู่หมั้นไปถึง 2 คน

และมีแต่มิตรภาพของพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ค้ำจุนท่านให้อยู่ได้

โจ เซฟ เมคลิคอท สกรีเวน เกิดที่เมืองแบนบริดจ์ บนเกาะไอร์แลนด์
ท่านจบปริญญาตรีด้านอักษรศาสตร์ และพบรักกับหญิงสาวสวยผู้หนึ่ง
จนได้กำหนดวันวิวาห์ แต่คืนก่อนวันแต่งงาน
เจ้าสาวกลับประสบอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิต ทำให้ท่านเสียใจอย่างมาก

จาก นั้นมาท่านก็เกิดปัญหาสุขภาพ
และเพื่อนฝูงได้ละทิ้งท่านไป...แต่ในท่ามกลางสถานการณ์ที่ย่ำแย่เหล่านั้น
ท่านได้สัมผัสถึงความรักของพระเยซูคริสต์ผู้ที่ท่านศรัทธา

ต่อมาท่าน ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศแคนาดา
และที่นั่นเองท่านได้ประพันธ์บทเพลง "มีสหายเลิศคือพระเยซู"
เพื่อปลอบใจตัวเอง และมารดาของท่าน ท่านได้ช่วยเหลือคนยากจน
และคนพิการด้วยใจโอบอ้อมอารี ในเวลาต่อมาท่านได้พบรักใหม่ที่นี่
แต่แล้วความรักของท่านก็ไม่สมหวังอีก
เพราะคนรักของท่านเธอล้มป่วยและเสียชีวิตลง! แต่ท่านกลับเล่าว่า
ไม่ว่าท่านจะขมขื่นมากมายสักเพียงใดก็ตาม
ท่านกลับสัมผัสได้ถึงมิตรภาพที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสถิตเคียงข้าง
ท่านอยู่เสมอมา ทั้งยามสุข
และยามทุกข์เป็นเหตุให้ความทุกข์เศร้าโศกของท่านลดลงไปมากกว่าครึ่ง!

และ
ความสัมพันธ์อันสนิทแน่นของท่านโยเซฟกับองค์พระเยซูคริสต์ยิ่งทำให้ท่าน
สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจเหมือนกับที่อัครฑูตเปาโลได้เคยกล่าวไว้ว่า ..."ใครจะให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า
จะเป็นความทุกข์หรือความยากลำบาก
หรือการเคี่ยวเข็ญหรือ...แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้
เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย" (โรม 8:35, 37)

ดัง นั้น หากวันนี้คุณมีพระคริสต์เป็นสหายของคุณอย่างแท้จริง
คุณจะไม่จมอยู่ในความทุกข์โดยลำพังอีกไปเป็นแน่
เพราะว่าพระองค์จะไม่นิ่งดูดาย
พระองค์จะร่วมแบ่งเบาความทุกข์นั้นของคุณอย่างแน่นอน...เชื่อไหมครับ?

----- ----- ----- ----- ----- ----- -----

ปราศจาก มิตร กลางวันก็มืดมิด แต่ในท่ามกลางมวลมิตร
กลางคืนก็สว่างไสว" (Without my friends the day is dark, but in their
company the night is luminous.) - Mose Ibn Ezra - (1060-1135)

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 242 วันที่ 16-22 มกราคม
พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พลังชีวิต โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
KrittMasta
เรทกระทู้
« ตอบ #357 เมื่อ: 6 มี.ค. 10, 05:49 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

สาวบริสุทธิหายากหรอ ผมว่าเจอหลายคนนะ มั่นใจด้วย หโงเฮ้ง ท่าทาง กริยา จะว่าผมนั่งทางนัย ก็เกือบงั้น แต่ขอบอกว่า ไม่ซิง ก็อยู่คนเดียวได้ ไม่ตาย โลกนี้ ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น จะว่าผมพ่อพระรึุปล่าว รู้อย่างเดียวว่า ผมเห็นหลายๆสิ่งที่คนอื่นไม่ค่อยเห็น กรรม เห็นเยอะมากมาย อีกอย่าง ชอบกัน ไม่ไปขอพ่อแม่ดีๆ แล้วแต่ง แล้วมาทำแบบนี้ แล้วคนเราจะแต่งงานกันไปทำอะไร ไม่ต้องหรอก ทำกัน สมรสก็แค่กระดาษแผ่นเดียวเอง ไม่ต้องเอาวัฒนธรรมแลกกฏหมายมาช่วยแล้ว

ผม วิศวะคอม อายุ 25 ปี อยู่ Los Angeles. และนี่คือความเห็นของคนกระหายวั็ฒนธรรมและประเภณี

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
KrittMasta
เรทกระทู้
« ตอบ #358 เมื่อ: 6 มี.ค. 10, 05:58 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ส่วนมากผู้ชายก้อจะไขว่คว้าหาหญิงบริสุทธิ์ แล้วผู้ชายแต่ละคนละส่วนมากบริสุทธิ์หรือป่าวละ แล้วยังมีพวกชอบทำลายความบริสุทธิ์ของผู้หญิงละมีเยอะ แล้วถามจิง ๆ เหอะว่าที่พวกคุณผู้ชายน่ะอยากได้สาวบริสุทธิ์ก้อคงต้องไปจองเดก ๆ แล้ว -_-'
ผมนี่แหละคนนึงที่ำไม่ยอมทำอะไรผู้หญิงถ้าไม่ต้องการแต่งจริง แล้วผมก็ขอสิ่งที่เหมือนกันด้วย ผมเป็นชายแท้ๆยังไม่ทำ ใครทำไป แล้วมานั่งพูดว่าผมเห็นแก่ตัว ไม่เป็นไร ผมอยู่คนเดียวได้ ผมเข้าใจในความเสมอภาค ใครใจแตก ก็คบกับคนใจแตกซะ ใครอยู่ดีทำตัวเข้าวัฒนธรรมก็อยู่คนได้ โลกนี้มันน่าเกลียดอยู่แล้ว สังคมวัตถุนิยมช่างเลวสิ้นดี

ความคิดจาก ชายอายุ 25 วิศวะคอมจบ UCSB จาก Los Angeles
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #359 เมื่อ: 7 มี.ค. 10, 08:09 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ผมนี่แหละคนนึงที่ำไม่ยอมทำอะไรผู้หญิงถ้าไม่ต้องการแต่งจริง แล้วผมก็ขอสิ่งที่เหมือนกันด้วย ผมเป็นชายแท้ๆยังไม่ทำ ใครทำไป แล้วมานั่งพูดว่าผมเห็นแก่ตัว ไม่เป็นไร ผมอยู่คนเดียวได้ ผมเข้าใจในความเสมอภาค ใครใจแตก ก็คบกับคนใจแตกซะ ใครอยู่ดีทำตัวเข้าวัฒนธรรมก็อยู่คนได้ โลกนี้มันน่าเกลียดอยู่แล้ว สังคมวัตถุนิยมช่างเลวสิ้นดี

ความคิดจาก ชายอายุ 25 วิศวะคอมจบ UCSB จาก Los Angeles

สุดยอด นาน ๆ จะเห็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดดี พูดดี ทำดี นับถือ นับถือ q*021 หายาก q*013
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า