|
กรณ์สวนหมัดเสี่ยปั้น แนะเลิกฟันส่วนต่าง ดบ.บนหลัง ปชช. http://www.jjthai.net/articles/43กรณ์ สวนกลับ บัณฑูร ยันให้เสียสละหั่น สเปรด ดบ.กู้-ฝาก เพราะต้องการให้มีส่วนร่วมกันรับผิดชอบสังคม ตอกแบงก์พาณิชย์ ลดส่วนต่าง ดบ.กู้-ฝากให้ลูกค้าได้เองอยู่แล้ว เพราะคุมส่วนแบ่งการตลาด ไม่ต้องไขสือรอแบงก์รัฐชี้นำ ส่วนข้อเสนอให้หารือแบงก์ชาติ แทรกแซงอัตรา ดบ.นั้น ขอรับไว้พิจารณา "วิโรจน์" แฉที่มาส่วนต่างดอกเบี้ยถ่าง พบขูดรีดสูงถึง 5% เพราะแบงก์เอาต้นทุนนำส่งกองทุนฟื้นฟู-ค่าบริหารหนี้เสีย นำมาหักดอกเบี้ยฝาก-โปะใส่ดอกเบี้ยกู้ แนะเลิกโยนความรับผิดชอบต้นทุนตังเองเป็นภาระให้ลูกค้า
วันนี้ 22 มกราคม 2552 นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่สถาบันการเงินเอกชน แนะนำให้ธนาคารของรัฐนำร่องลดช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงิน ฝาก (สเปรด) โดยระบุว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดส่วนใหญ่นั้นเป็นของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งสถาบันการเงินเอกชนควรลดช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากได้เลย ไม่ต้องรอธนาคารของรัฐ และการริเริ่มหลัก ควรมาจากธนาคารพาณิชย์เอง
"กรณี สเปรดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบธนาคาร ผมมองว่ายังมีส่วนต่างสูงเกินไป และต้องการเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ ร่วมมือในการปรับลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลงอีก เพราะเห็นว่า สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทุกฝ่ายควรต้องช่วยกันรับผิดชอบต่อสังคม และทำในสิ่งที่คิดว่าจะช่วยได้"
รม ว.คลัง ยืนยันว่า สิ่งที่ได้นำเสนอไปเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตุ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์กำหนด สเปรดระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากให้เกิดความเหมาะสม เพราะมองว่าหากธนาคารพาณิชย์กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้สูง และมีผลทำให้สเปรดของดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากห่างกันมาก ท้ายที่สุดแล้วจะมีผลกระทบกับลูกค้าของธนาคาร และในระยะยาวอาจจะกระทบมาถึงธนาคารเองด้วย
นายกรณ์ ยังกล่าวถึงแนวคิดที่ธนาคารพาณิชย์ ต้องการให้กระทรวงการคลังหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อแทรกแซงอัตราดอกเบี้ยนั้น ตนเองคงจะรับไว้ เพื่อพิจารณา ส่วนมาตรการกระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์จะเป็นการช่วยเหลือการจ้างงาน และธุรกิจภาควัตถุดิบ ส่วนกรณีที่อุตสาหกรรมอื่นต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือนั้น คงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมก่อน
สำหรับข้อเสนอของนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่ต้องการให้ธนาคารของรัฐเป็นฝ่ายนำร่องลดดอกเบี้ย หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงนั้น รมว.คลัง กล่าวว่า ธนาคารของรัฐมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชาชนและลูกค้าอยู่แล้ว และส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่กว่า 80% จะอยู่ที่ธนาคารพาณิชย์
สำหรับ ผลประกอบการปี 2551 ของธนาคารพาณิชย์ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ 11 แห่ง ปรากฎว่า มีกำไรสุทธิ 8 หมื่นล้าน หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 1,458% ธนาคารที่มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นมากสุดเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์คือ ธนาคารหลวงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทย ตามลำดับ ส่วนธนาคารกสิกรไทยกำไรทั้งสิ้น 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.75% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 7%นาย วิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน โดยยืนยันว่า มีการเอาเปรียบลูกค้าทั้งลูกค้าเงินฝากและลูกค้าเงินกู้ เห็นได้จากส่วนต่างดอกเบี้ย ที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศ โดยปัจจุบันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 5% สูงเป็นอันดับ 2 ในประเทศอาเซียน เป็นรองแค่อินโดนีเซียเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ไทย มักอ้างว่าได้ส่วนต่างดอกเบี้ยแค่ 2.5% เท่านั้น อีก 2.5% ที่เหลือเป็นต้นทุนการบริหารงาน เรื่องดังกล่าว ตนถือว่าไม่เป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะธนาคารไม่จูงใจให้ผู้ฝากเกิดการออม ส่วนผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนจากดอกเบี้ยเงินกู้ที่แพง
นาย วิโรจน์ ระบุว่า ต้นทุนการบริหารงานในความหมายของแบงก์ คือ การรวมเอาเงินนำส่งเงินกองทุนฟื้นฟู 0.4% กับค่าบริหารหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) อีก 0.8-1.0% การนำสองส่วนนี้มารีดจากดอกเบี้ยถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะสองส่วนดังกล่าวโดยเฉพาะค่าบริหารเอ็นพีแอลถือเป็นความรับผิดชอบของ แบงก์ หากเกิดหนี้เสียสิ่งที่ต้องทำคือการเพิ่มทุน แต่แบงก์ไม่ยอมเพิ่มทุน
นาย วิโรจน์ กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า หากธนาคารไม่นำเงินนำส่งเงินกองทุนฟื้นฟู กับค่าบริหารหนี้เสียมารวมเป็นต้นทุน ดอกเบี้ยลูกค้าเงินกู้ในปัจจุบันลงได้ประมาณ 0.5% ส่วนผู้ฝากเงินก็จะได้ผลตอบแทนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 0.4%
|
|
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
'บัณฑูร' นั่งแท่นผู้บริหารเคแบงก์แทน 'ประสาร' http://www.thairath.co.th/content/eco/96259
บัณฑูร ล่ำซำ ขึ้นแท่นผู้บริหาร เคแบงก์แทน "ประสาร" หลังลาออกเพื่อรับตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ พร้อมปรับโครงสร้างผู้บริหารใหม่ 4 ด้าน
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้ลาออกเพื่อไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น คณะกรรมการธนาคารกสิกรไทย มีมติให้นายบัณฑูร ล่ำซำ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ทั้งนี้ คณะกรรมการธนาคารยังได้ขอบคุณและชื่นชม แสดงความยินดีกลับนายประสาร ที่ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะที่ส่วนตัวแล้ว นายประสารเป็นเพื่อน ที่เข้ามาร่วมงานเพื่อพัฒนาเครือธนาคารกสิกรไทยให้ก้าวหน้า และดีใจที่นายประสารได้นำความรู้ที่ผ่านงานทั้งภาครัฐและเอกชน ความมีวันัย ความดีที่สะสม ไปทำงานที่ ธปท. จะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้อย่างมหาศาล
"แบงก์ กสิกรไทย เสียคนอย่างภาคภูมิใจ หากผู้ดำรงตำแหน่งบริหารสายการบินแห่งชาติไม่ได้ ก็เอาไปจากกสิกรไทย (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทย) หากผู้ว่าการ ธปท.ไม่ได้ก็เอาไปจากกสิกรไทย (นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล) หากวันข้างหน้าหากหัวหน้าพรรคการเมืองไม่ได้ มิต้องมาเอาที่ธนาคารกสิกรไทยอีกหรือ"นายบันฑูร กล่าว
นายบัญฑูร กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีมติปรับโครงสร้างการบริหารของเครือธนาคารกสิกรไทยเป็น 4 ภูมิ (Domain) และมีผู้ประสานงานภูมิ 4 คน ได้แก่ นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ประสารงานภูมิด้านธุรกิจ ทั้งเรื่องการบริการลูกค้า (สินเชื่อและธุรกรรม) การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การตลาดทั่วไป นายปรีดี ดาวฉาย รองกรรมการผู้จัดการ ดูแลภูมิ ประสานงานภูมิด้านบริหารความเสี่ยง ทั้งนี้เรื่องการบริหารคุณภาพหนี้ การกำกับการปฏิบัติตามกฎ การตรวจสอบภายใน นายธีรนันท์ ศรีหงส์ รองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ประสารงานภูมิด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งเรื่องระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การปฏิบัติการ และโครงการ K-Transformation และนายสมเกียรติ ศิริชาติไชย รองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ประสารงานภูมิด้านทรัพยากร
"ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องให้ผู้บริหารที่เป็นคนรุ่นใหม่ เข้ามาพิสูจน์ฝีมือ ตอนนี้บอร์ดแบงก์รู้สึกว่ายังไม่พร้อม จึงให้ผมนั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการไปก่อน และรายงานให้ผู้ว่าการธปท.คนปัจจุบันได้รับทราบแล้ว และไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างไร และหากเห็นว่าพร้อมแล้ว จะแต่งตั้งทันที ส่วนคนนอกไม่ได้อยู่ในความคิดที่ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ" นายบัณฑูร กล่าว.
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
บัณฑูร ล่ำซำ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี http://th.wikipedia.org/wiki/บัณฑูร_ล่ำซำ
บัณฑูร ล่ำซำ เป็นนักธุรกิจที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นผู้พาธนาคารกสิกรไทยให้รอดวิกฤติ ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ริเริ่มนำคำว่า รื้อปรับระบบ องค์กร หรือ reengineering มาใช้ในประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากวิกฤติตระกูลล่ำซำกลายเป็นแต่เพียงผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของธนาคาร กสิกรไทย เช่นเดียวกับตระกูลเจ้าของธนาคารไทยอื่นๆ นายบัณฑูรได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีบุคลิกแข็งกร้าว เคยปะทะคารมกับ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมาแล้ว เพราะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และ เคยมีข่าวคราวว่าได้รับการทาบทามจากพรรคประชาธิปัตย์ให้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ในปี พ.ศ. 2547
นายบัณฑูร ล่ำซำ เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2496 มีชื่อเล่นว่า " ปั้น " เป็นบุตรของนายบัญชา ล่ำซำ และหม่อม ราชวงศ์สำอางวรรณ ล่ำซำ (นามสกุลเดิม "เทวกุล" เป็นพี่สาวต่างมารดาของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล) มีกิจกรรมยามว่างคือ พายเรือแคนูที่แม่น้ำเจ้าพระยา ยามเย็น ข้างสำนักงานใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย
การ ศึกษา
* โรงเรียนเซนต์คาเบรียล * โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร * สำเร็จปริญญาตรี สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี (BA in Chemical Engineering) จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน สหรัฐอเมริกา * สำเร็จปริญญาโท บริหารธุรกิจ (MBA) จาก Harvard Business School (HBS) ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา
หน้าที่ การงานในปัจจุบัน
* ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กสิกรแบ็งก์ * ประธานกรรมการผู้จัดการ มูลนิธิมหามกุฏราช วิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ * กรรมการมูลนิธิ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า [1]
อ้างอิง
1. ^ สมุดบันทึกภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพรัตนฯ ในร่มเงาวังสระปทุม
* ประวัติบุคคล สำนักข่าวไทย * บ้านสามญาณ ล่ำซำ พุทธมามกะ และข้าแผ่นดิน
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
เปิดขุมทรัพย์"ประชาธิปัตย์"กะจั๊วการเมืองไทย http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kheyesarn&month=17-12-2008&group=5&gblog=26
(จาก เปิดขุมทรัพย์"ประชาธิปัตย์" เปิดฉาก"การเมืองนอมินี" 8 มิถุนายน พ.ศ. 2550 06:00:00 http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/08/WW73_7301_news.php?newsid=77818)
ทุน"กับ"การเมือง"แยกกัน ไม่ออก" นี่เป็นคำเปรียบเปรยของบิ๊กทุนใหญ่ของเมืองไทย ยอมรับกันกลายๆ ว่าไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน กลุ่มทุนก็มีบทบาทในระบบการเมืองแบบไทยๆ
กรุงเทพ ธุรกิจออนไลน์ : ลมเปลี่ยนทิศ ทุนเปลี่ยนขั้ว
ล่ำซำ-สารสิน ฯลฯ ผงาด
หลัง เหตุการณ์รัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ตามมาด้วยการวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์พ้นข้อกล่าวหา
ถือเป็นจุดเปลี่ยน “โฉมหน้า” ทางการเมืองครั้งสำคัญ
เพราะเป็นเหมือนอวสาน "กลุ่มทุน" ไทยรักไทย จากที่เคย "เอ็นจอย" การเกาะกุมผลประโยชน์จากนโยบายต่างๆ
คงไม่น่า แปลกใจถ้าจะเห็น "การตีจาก" การเคลื่อนย้ายของกลุ่มทุน
จากขั้วการ เมืองเก่าสู่ขั้วการเมืองใหม่
เพราะธรรมชาติของนักธุรกิจ นั้น..."ลื่นไหล" ไม่แพ้นักการเมือง
"ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร"
...ผล ประโยชน์สิแน่กว่า !!!
ก่อน หน้าที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นที่ทราบกันดีว่า เงินบริจาคเข้าพรรคไทยรักไทยจัดอยู่ในระดับ “อู้ฟู่” กว่าพรรคประชาธิปัตย์
แต่ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ สถานะเงินบริจาคของพรรคไทยรักไทยออกอาการง่อนแง่นทันที สังเกตได้จากยอดเงินบริจาคของพรรคที่ลดฮวบ "สวนทาง" กับยอดเงินบริจาคของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เริ่มงอกเงย
ย้อนดูตัวเลข ก่อนหน้าที่จะมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เดือนเมษายน 2549 ยอดบริจาคเข้าพรรคไทยรักไทยพุ่งสูงระดับ 80 ล้านบาท ขณะที่เงินบริจาคเข้าประชาธิปัตย์มีล้านกว่าบาท หรือเดือนกรกฎาคม ยอดบริจาคไทยรักไทยอยู่ที่ 50 ล้านบาท ส่วนเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ยังอยู่ที่หลัก 1 ล้านบาทเหมือนเดิม
แม้ วงเงินบริจาคหลักๆ ของพรรคไทยรักไทยในช่วงนั้น จะมาจากคุณหญิงพจมาน ชินวัตร และบรรณพจน์ ดามาพงศ์ แต่ก็มีผู้บริจาครายอื่นๆ หลายหน้าสมทบด้วย
ทว่า เมื่อพรรคไทยรักไทยเผชิญวิกฤติทางการเมือง ในเดือนกันยายน พบว่า ยอดเงินบริจาคให้พรรคไทยรักไทยจากหลักล้านลดลงเหลือแสนกว่าบาท (123,340 บาท) ขณะที่ยอดเงินบริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มขึ้นเป็นยี่สิบเอ็ดกว่าล้านบาท ( 21,118,800 บาท) ทันที
ยิ่ง 1 เดือนให้หลังการปฏิวัติ ปรากฏว่าเงินบริจาคเข้าไทยรักไทยประจำเดือนตุลาคม 2549 เหลือเพียง “รายเดียว” โดยเป็นการบริจาคของนายไชยยศ สะสมทรัพย์ ที่มีลักษณะตัดบัญชีทุกเดือนๆ ละ 23,340 บาท
ขณะที่ตัวเลขเงินบริจาค เข้าประชาธิปัตย์แม้จะอยู่ที่หลัก 1.8 ล้านบาท แต่จำนวนผู้บริจาคก็เพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก
ใน จำนวนนั้น ผู้บริจาคเงินหลักๆ ของประชาธิปัตย์ ก็เช่น กรณ์ จาติกวณิช 5 ล้านบาท, ประกอบ จีรกิติ (น้องเขยบุญชัย เบญจรงคกุล) 5 ล้านบาท และพี่เบิ้ม โพธิพงษ์ ล่ำซำ บริจาคคนเดียว 10 ล้านบาท ตามด้วยเจ้าเก่า "ศรีสุบรรณฟาร์ม" ธุรกิจของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (เลขาธิการพรรค) วงเงิน 1 ล้านบาท
เป็น การบริจาคที่สะท้อนถึง "แต้มต่อ" ของประชาธิปัตย์ที่อยู่เหนือพรรคไทยรักไทย
การ เลือกตั้งที่ (อาจจะ) มีขึ้น จึงไม่เพียงพลิกโฉมหน้าการเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดการพลิกโฉมหน้า “กลุ่มทุน” ทางการเมือง ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง (ผ่านการบริจาคเงินให้กับพรรคการเมือง)
ทั้ง ในแง่ของ “ตัวบุคคล” และ “รูปแบบ” ของการเข้ามาสนับสนุนพรรคการเมือง
นัก ธุรกิจในคราบนักการเมืองที่เห็นกันอย่างโจ่งแจ้งอาจจะน้อยลง เพราะนั่นคือบทเรียนอันเจ็บปวด นำไปสู่จุดจบของพรรคไทยรักไทย และอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทว่ามองกันว่า การแฝงตัวในลักษณะนอมินี (ตัวแทน) จะมีมากขึ้น !!!
อาจ จะไม่ได้เห็นชื่อของคนในตระกูล จึงรุ่งเรืองกิจ, มหากิจศิริ, วงศ์สวัสดิ์, เกยุราพันธุ์, สะสมทรัพย์, ชินวัตร ฯลฯ ที่เคยให้การสนับสนุนทางการเงินกับพรรคไทยรักไทยอย่างออกนอกหน้า หรือการส่งคนในตระกูลมายึดกุมนโยบายของรัฐบาลอย่างเปิดเผยอีกต่อไป
แต่ ด้วยระบบการเมืองของไทย “ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์" นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ให้ความเห็นถึงบทบาทของกลุ่มทุนการเมืองว่า เนื่องจากระบอบการเมืองไทยยังคงมีลักษณะความเป็น Money Politics คือเป็นการเมืองที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มทุน ขณะที่นักการเมืองยังจะต้องพึ่งพิงกับกลุ่มทุนเพื่อสนับสนุนพรรค ทำให้กลุ่มทุนยังคงมีบทบาทต่อพรรคการเมืองอยู่
กระแสเม็ดเงินที่ เริ่มไหลเข้าประชาธิปัตย์ย่อมจะ “คอนเฟิร์ม” ได้ระดับหนึ่งว่า เกิดจากการเก็งกันว่า…การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอนาคต พรรคประชาธิปัตย์ จะได้เป็น “แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล
แม้กลุ่มทุนใหญ่จะยังคงรีรอ ไม่ปรากฏชื่อ ไม่ปรากฏกายในขณะนี้ แต่จากข้อมูลสรุปยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำให้เห็นว่า “ใคร” คือถุงเงินของพรรคประชาธิปัตย์บ้าง
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ล่ำซำ สังขะทรัพย์ เทือกสุบรรณ แก้วทอง พร้อมพันธุ์ ฯลฯ เหล่านี้คือ “ถุงเงิน” หลักๆ ให้กับพรรคประชาธิปัตย์
ราย ชื่อแรก เขาคือถุงเงิน (ตลอดกาล) ตัวจริงเสียงจริง “โพธิพงษ์ ล่ำซำ” เจ้าของธุรกิจเมืองไทยประกันชีวิต ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการทุ่มเงิน บริจาคมากถึง 10 ล้านบาท ในเดือนกันยายน 2549 เดือนที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร (19 กันยายน) หัวเลี้ยวหัวต่อการเมืองไทย
โพธิ พงษ์คงรู้ว่าประชาธิปัตย์ต้องการใช้เงินมาใช้ในกิจกรรมทางการเมืองเพียงไร และปัจจุบันโพธิพงษ์ ยังนั่งเป็นกรรมการในสภาที่ปรึกษาพรรค และยังเป็นหนึ่งในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์
แม้เขา มีท่าทีวางมืออยู่เบื้องหลังการเมือง แต่ก็ได้ส่งลูกสาว “นวลพรรณ ล่ำซำ” หนึ่งในผู้บริหารเมืองไทยประกันชีวิต และทำธุรกิจนำเข้าเสื้อผ้าและเครื่องหนังแบรนด์ดังจากต่างประเทศ อาทิเช่น แอร์เมส จากฝรั่งเศส, เอ็มโพลิโอ อาร์มานี จากฝรั่งเศส, ทอดส์ โรโด จากอิตาลี เข้าสู่แวดวงการเมือง โดยมีสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพี่เลี้ยง
ล่ำซำสายนี้ยังอาจจะ เชื่อมโยงไปถึง “บัณฑูร ล่ำซำ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย หลานชาย ที่อยู่ "คนละขั้ว" ความคิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างสุดโต่งก็ได้
แม้ บัณฑูรจะไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็มีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างบัณฑูร กับ “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” แคนดิเดทตำแหน่งรัฐมนตรีสายประชาธิปัตย์ในสมัยหน้า
เพราะบัณฑูร คือ คนที่ชักชวนให้ปิยสวัสดิ์มานั่งเก้าอี้ประธานกรรมการบริษัทจัดการกองทุนรวม กสิกรไทย เป็นแหล่งหลบเลียแผลใจในช่วงที่เขาลาออกจากตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จากความเห็นที่ขัดแย้งด้านนโยบายพลังงานกับรัฐบาลทักษิณ
ทั้ง ปิยสวัสดิ์เองก็เคยทำงาน “เข้าขา” กับประชาธิปัตย์เป็นอย่างดีสมัยที่ทำงานเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ และภรรยาของเขา (อานิก วิเชียรเจริญ) ยังเข้าไปช่วยงานเป็นที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการให้กับพรรคประชาธิปัตย์มาระยะ หนึ่งแล้ว
จะว่าไปแล้ว ปิยสวัสดิ์ คือญาติห่างๆ ของบัณฑูร เนื่องจากมารดาของบัณฑูร ม.ร.ว.สำอางวรรณ ล่ำซำ (เทวกุล) และมารดาของปิยสวัสดิ์ ม.ร.ว.ปิ่มสาย อัมระนันทน์ สืบเชื้อสายต้นตระกูลมาจากรัชกาลที่ 4 เช่นกัน
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ถุงเงินที่มีบทบาท ในพรรคประชาธิปัตย์อีกคน คือ “เกียรติ สิทธีอมร” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พรรคประชาธิปัตย์ เขาถือเป็นนักธุรกิจที่ประกาศตัวเองเข้ามาสวมเสื้อสูทนักการเมืองอย่างไม่ ปิดบังอำพราง
ในฐานะหนึ่งในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ และกลุ่มงานยุทธศาสตร์ของพรรค เขายังทำตัวเป็น “กระบอกเสียง” ของพรรค ในการเปิดโปงประเด็นความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรณีเครื่องตรวจจับระเบิด ซีทีเอ็กซ์ รวมไปถึงคดีประวัติศาสตร์การซื้อขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ฯลฯ
ปัจจุบัน เกียรติ ยังเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์หอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย และอดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย ทำให้มีสายสัมพันธ์ที่กว้างขวางกับนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
ใน แง่ธุรกิจส่วนตัว ในเดือนตุลาคม 2549 เขาได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผ่านบริษัทโปร เอ็น โฮลดิ้งส์ ในการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ อย่างปราณบุรี และหัวหิน ด้วยทุนจดทะเบียนเบื้องต้นที่ 20 ล้านบาท
เกียรติยัง นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัทโปร เอ็น คอนซัลแทนซ์ ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการลงทุน ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องใช้สายสัมพันธ์ค่อนข้างมาก ดูเหมือนจะเป็นงานถนัดของเขา
ไม่กล่าวถึงไม่ได้ สำหรับตระกูล “เทือกสุบรรณ” เพราะเป็นนามสกุลของเลขาธิการพรรค “สุเทพ เทือกสุบรรณ” นอกจากเขาจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มายาวนานแล้ว ในอีกฟากหนึ่ง เขายังเป็นเจ้าของบริษัทศรีสุบรรณฟาร์ม ธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำรายใหญ่ ใน จ.นครศรีธรรมราช บริษัทดังกล่าวบริจาคเงินสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์อย่างเป็นกอบเป็นกำและต่อ เนื่อง
จากการสรุปยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองที่เผยแพร่โดย กกต.พบว่า ตามข้อมูลที่สืบค้น ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548-เมษายน 2549 ศรีสุบรรณฟาร์มได้บริจาคเงินจำนวน 1 ล้านบาท ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ทุกเดือน เว้นก็แต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550
ไม่ นับการบริจาคเงินในชื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทุกเดือน
นอก จากเงินส่วนตัวจากการประกอบธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแล้ว ในฐานะเลขาธิการพรรค เชื่อแน่ว่ายังมีท่อน้ำเลี้ยงจากนักธุรกิจหลายคนที่ไม่ประสงค์ออกนาม บริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ผ่านมายังนายสุเทพ
เลือดใหม่ที่ มาแรงของประชาธิปัตย์ คือ “กรณ์ จาติกวณิช” รองเลขาธิการพรรค ผู้ผ่านประสบการณ์ด้านตลาดเงิน ตลาดทุนมาพอตัว ตำแหน่งสุดท้ายของเขา ก่อนจะผันมาเล่นการเมือง คือซีอีโอ เจ.พี.มอร์แกน (ประเทศไทย)
ด้วย คุณสมบัติและทรัพย์สมบัติ ทำให้กรณ์มิใช่แค่หนึ่งใน “ทีมเศรษฐกิจ” ที่สร้างจุดขายให้กับพรรค หรือเป็นผู้เกาะติดวิพากษ์นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะการชำแหละการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของกลุ่มตระกูลชินวัตร แต่เขาเป็นผู้บริจาคเงินรายหนักให้กับพรรครายหนึ่ง โดยเมื่อเดือนกันยายน 2549 กรณ์บริจาคให้กับพรรค 5 ล้านบาท
ถึงแม้จะทิ้งบทบาทนักธุรกิจ เป็นนักการเมืองเต็มตัว ทว่าศิษย์เก่าจากสำนักออกซ์ฟอร์ด ซึ่งกำลังจับจองบทบาทสำคัญในพรรคก็มี “คอนเนคชั่น” ในแวดวงธุรกิจจากสายสัมพันธ์ของตระกูล อาทิเช่น กลุ่มล็อกซเล่ย์ ของคุณหญิงชัชนี จาติกวณิช ภรรยาของเกษม จาติกวณิช ที่เป็นลุงของกรณ์
ขณะ ที่ตระกูล “โสภณพนิช” กลุ่มทุนจากธนาคารกรุงเทพ ยังอาจจะสอดแทรกเข้ามายังพรรคประชาธิปัตย์ได้ผ่านคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ที่นั่งตำแหน่งกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันได้ เช่นเดียวกับ “พรวุฒิ สารสิน” ผู้บริหารบริษัทไทยน้ำทิพย์ ที่ปรากฏชื่อเขาบริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์อยู่เป็นระยะๆ
“บุญ ชัย เบญจรงคกุล” อดีตผู้บริหารดีแทค ที่ประกาศขายหุ้นตระกูลเบญจรงคกุลทั้งหมดในบริษัทยูไนเต็ด คอมมูนิเกชั่น จำกัด (มหาชน) หรือยูคอม ให้กับบริษัท ไทย เทลโค โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดย "เทเลนอร์" ถือเป็นกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ผ่าน “ประกอบ จีรกิติ” น้องเขย ปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ 39
“จิตติมา สังขะทรัพย์” ยังเป็นอีกหนึ่งตระกูลที่เป็นกลุ่มทุนของพรรคประชาธิปัตย์ ฐานที่เป็นภรรยาอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ "บัญญัติ บรรทัดฐาน" ที่ปัจจุบันบัญญัตินั่งอยู่ในตำแหน่ง กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์
นอก จากเป็นภรรยาอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้ว จิตติมา ยังเป็นกรรมการบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม ผู้ผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายกระเบื้องเซรามิค ทั้งปูพื้นและบุผนัง ภายใต้เครื่องหมายการค้า “RCI” “MODENA” และเครื่องหมายการค้าอื่นๆ ที่บริษัทนำเข้าจากต่างประเทศ ทุนจดทะเบียน 314,285,710 บาท ในปี 2549 นี้มียอดขายรวม 1,644 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 1,606 ล้านบาท และส่งออก 38 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 จิตติมายังติดอันดับผู้ถือหุ้น 20 อันดับแรก ที่ 2,179,630 หุ้น สัดส่วนถือหุ้น 0.69% เธอยังเป็นกรรมการหรือผู้บริหารร่วม ในบริษัท โรแยลเอเซียบริคแอนด์ไทล์ จำกัด, บริษัท จ๊อบเมคเคลนิเคิล ซัพพลาย (1992) จำกัด, บริษัท สังขะทรัพย์ จำกัด, บริษัท แมนน่า จำกัด และบริษัท บ้านสมถวิล จำกัด
“ไพฑูรย์ แก้วทอง” ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 4 เจ้าของธุรกิจรับเหมา อาทิเช่น บริษัทสระหลวง ก่อสร้าง, บริษัทชาละวัน เทรดดิ้ง, บริษัท ก.นราพัฒน์ และ “นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 8 เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงเลื่อย เช่น โรงเลื่อยจักรไทยพูนสิน บริษัทไทยประสิทธิ์ทำไม้ บริษัทชนาพันธ์ ก็เป็นแหล่งทุนของประชาธิปัตย์มานาน
นอกจากนี้ในคณะกรรมการและคณะ ทำงานชุดต่างๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีตระกูลเก่า-ใหม่ ที่เดินสู่ถนนธุรกิจ เช่น คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งปรากฏชื่อ ม.ล.อภิมงคล โสณกุล, ลาภศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ, กันตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ ส่วนในคณะกรรมการกลุ่มงานยุทธศาสตร์ ปรากฏชื่อ นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ, ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร, จุติ ไกรฤกษ์
ในคณะกรรมการบริหารพรรค ปรากฏชื่อ อัญชลี วานิช เทพบุตร, พินิจ กาญจนชูศักดิ์, สุกิจ ก้องธรนินทร์, พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล และในคณะกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ปรากฏชื่อ เล็ก นานา, อนันต์ อนันตกูล, อาทิตย์ อุไรรัตน์, ธารินทร์ นิมมานเหมินท์, ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
คนเหล่านี้ แม้จะไม่ใช่ทุนใหญ่ฉูดฉาด แต่ก็มี "ศักยภาพ" ในการสนับสนุนกิจกรรมการขับเคลื่อนทางการเมืองของประชาธิปัตย์เช่นกัน
ทีม ข่าว BizWeek
Create Date : 17 ธันวาคม 2551 Last Update : 17 ธันวาคม 2551 18:54:47 น.
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ธนาคาร กสิกรไทย (หรือแบงคฺ์ต่าง ๆ) จงอย่าได้เป็น"แบงค์ที่ทำนาบนหลังคน"อีกต่อไปเลย เมื่อ: 23 พ.ย. 09, 10:05 น (กระทู้ฮ็อตสุด ๆ กระทู้หนึ่งที่ท่านไม่ควรพลาด สามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ แตกได้ 4 แฟ้ม KBank-อย่าทำนาบนหลังคน.rar (235.55 KB) http://www.mediafire.com/?3sy834gas5f6pei )ตอนที่ 10 ธนาคารกสิกรไทย จงอย่าได้เป็น"แบงค์ที่ทำนาบนหลังคน" อีกต่อไปเลย จากการตั้งกระทู้ เกี่ยวกับธนาคารกสิกรไทยตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2552 จนถึงวันนี้รวม ทั้งหมด 9 กระทู้ ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ รวมทั้งภาพประกอบจำนวนผู้อ่าน และตอบ ถือว่าเป็นที่น่าพอใจพอสมควร ผมจึงได้รวบรวมมาตั้งกระทู้นี้ขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ เพื่อที่จะได้นำเอาข้อคิดเห็น ต่าง ๆ ที่ได้แสดงไว้ในกระทู้เหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการปรับ ปรุงการให้บริการของธนาคารต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผมหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สมาคม ธนาคารไทย 1111 กระทรวงการคลัง และรัฐบาล ควรจะได้เอาใจใส่ในการควบคุม การให้บริการของธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ตั้งกฎ กติกา สัญญา ฯลฯ ที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนหรือลูกค้าธนาคารเกินไป ดังหัวข้อตอนที่ 1-9 ที่ผมได้ตั้งขึ้นจากประสบการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ผมจึงนำมา สรุปเป็นตอนที่ 10 นี้ ว่า
ธนาคารกสิกรไทย แบงค์พาณิชย์ และสมาคมธนาคารไทย จงอย่าได้มีนโยบายทำนาบนหลังคนอีกต่อไปเลย ชื่อกระทู้ขอให้เครดิต คุณ nano ที่ได้ให้ความคิดเห็นนี้ไว้ครับ
nano
กสิกรไทย "บริการห้ำหั่นอายัดเงินจนเกลี้ยงอย่างไร้ความยุติธรรม" ตอบ #5 เมื่อ: วันนี้ 08:59 น แก้ไข ลบทิ้ง
ชื่อเขาคือ กสิกรแบงค์ คือแบงค์ที่ทำนาบนหลังคน ****************************************** jrchai Level 4 ความ คิดเห็น: 156
กสิกรไทย "บริการห้ำหั่นอายัดเงินจนเกลี้ยงอย่างไร้ความยุติธรรม" ตอบ #6 เมื่อ: วันนี้ 14:17 น
คุณ nano คิดคำได้เจ๋งจริง ๆ ขอบคุณครับ
****************************** จากกระทู้ กสิกร ไทย "บริการห้ำหั่นอายัดเงินจนเกลี้ยงอย่างไร้ความยุติธรรม" http://webboard.news.sanook.com/forum/2976618
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ทำนาบนหลังคน http://www.classifiedthai.com/content.php?article=3310 หมายถึงคนที่คิดหาผลกำไรหรือหาผลประโยชน์ใส่ตน ด้วยวิธีเบียดเบียนหรือรีดนาทาเร้นเอาจากน้ำพักน้ำแรงของผู้อื่นโดยขาดความเมตตา เช่น ให้กู้เงินแล้วเรียกดอกเบี้ยแพง ๆ หรือกว้านซื้อข้าวจากชาวนาในราคาถูก ๆ เพื่อเอามาค้าหากำไร
โดยเหตุที่การทำนาของคนไทยในสมัยโบราณจัดว่า เป็นอาชีพหลักและสำคัญ ส่วนใหญ่โบราณจึงเอาเรื่อง “ทำนา” มาผูกเป็นสำนวน ความหมายทำนองเดียวกับ “รีดเลือด กับปู” ก็ได้
เครดิต thaiidiom.kapook.com
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ขอให้เครดิตคำว่าตัวเหลือบ ตัวปลิง จากสมณะท่านนี้ครับ สมณะเด็ดขาด จิตตสันโต http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Sanasoke/SA247/s247_76.html
เดินตามรอยพ่อ อนิจจัง ชีวิต ทางครอบครัว คงคิดว่า ข้าพเจ้าเบื่องานธนาคาร ข้าพเจ้าจึงได้เปรยว่า "จะไปบวช" เพราะที่ทำงานก็มีการเอารัดเอาเปรียบกันมาก แม้จะเป็นงานที่ใครๆ เขาอยากจะเข้าไปทำงานธนาคารก็ตาม ช่องทางการเอาเปรียบผู้ฝาก ผู้กู้ มันมีอยู่แล้ว ---------------------------------------------------- ---------------------------------------------------- ข้าพเจ้าได้ฟัง ก็ยิ่งเกิดความศรัทธายิ่งขึ้น จิตใจยิ่งอยากจะลาออกจากการทำงานที่ธนาคาร เพราะเห็นทุกข์กับการทำงาน และ อีกอย่าง ข้าพเจ้าจะบาปมากขึ้น เพราะธนาคารก็คือแหล่งดูดเงินจากคนอื่นดี ๆ นี่เอง หรือถ้าจะเปรียบก็คือตัวเหลือบ ปลิงนั่นเอง พวกทำงานธนาคาร คือพวกเอาเปรียบสังคม พวกเสือนอนกิน พวกเสือ-กินเปล่า
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
jrchai Level 9 ความคิดเห็น: 837
ระวังน้า คุณหนูเสี่ยปั้นKbank แบงค์ต่าง ๆ ทำเยี่ยงนี้ มีหรือที่เปตนรกอบายภูมิจะไม่ถามหา เมื่อ: 23 ธ.ค. 09, 15:30 น
สนใจกระทู้ฉบับเต็ม สามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ http://www.mediafire.com/?326073w7d3ywxdf
ระวังน้าคุณหนูเสี่ยปั้น.rar (131.7 KB) ตอนที่ 14 KBANK ขูดรีด สร้างความใหญ่โตบนความเจ็บช้ำน้ำใจของลูกค้า ท้าทายเปตนรกอบายภูมิ
จากการเสนอกระทู้ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 เป็นต้นมา (อ่าน - 7900 ตอบ - 286 ) เรื่อง
กลยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตายของธนาคารกสิกรไทยที่ท่านควรทราบ ? http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=2970966.new#new
เรื่อยมาจนถึงกระทู้ล่าสุดซึ่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 (อ่าน 6800 ตอบ 76 ) เรื่อง
นี่หรือ ? คือวิธีการให้บริการต้อนรับของคุณบัณฑูรที่กสิกรไทย สำนักงานใหญ่ http://webboard.news.sanook.com/forum/3003181
ปรากฎว่ากระทู้ทั้ง 14 กระทู้นี้ ได้รับการพิจารณาให้เป็นประเด็นร้อนสุด ๆ 1-5 เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งตลอดเดือนกว่านี้ ก็ได้รับการต้อนรับจากผู้อ่านมากมายพอสมควรทีเดียว กระทู้ที่ตั้งนี้ มีความคิดเห็นตำหนิติเตียนธนาคารกสิกรไทยจำนวนมากมายหลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการขูดรีด การรีดเลือดกับปู การทำนาบนหลังคน การเอารัดเอาเปรียบเปรียบลูกค้าทุกรูปแบบอย่างสุด ๆ ด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลโกงอันชาญฉลาด เพื่อสร้างผลงานให้ได้ตามเป้า วัตถุประสงค์ หรือตามแผนนโยบายที่ธนาคารตั้งเอาไว้ "ผลประโยชน์ของแบงค์ ย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใดไม่ว่าจะชอบธรรม มีเหตุมีผลหรือไม่ก็ตาม" ทั้งนี้เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ ความใหญ่โต และความเจริญรุ่งเรืองของธนาคารเป็นหลัก โดยไม่ใส่ใจต่อความรู้สึก ความสูญเสีย และความเจ็บช้ำน้ำใจของลูกค้าแต่อย่างไรทั้งสิ้น จึงทำให้เกิดคำถามและข้อสงสัยสะกิดใจภายใต้ห้วงสำนึกขึ้นมาว่า ทำไมหนอ แบงค์จึงกล้าทำเช่นนี้ได้โดยไม่สำนึกถึงบาปบุญคุณโทษเลยแม้แต่นิดเดียว หรือว่าแบงค์จะไม่กลัวว่าจะตกหมกไหม้อยู่ใต้ขุมนรกอเวจี กลายเป็นภูตผีปีศาจเปรตอสุรกาย ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ นี่ หรือ ? คือวิธีการให้บริการต้อนรับของคุณบัณฑูรที่กสิกรไทย สำนัีกงานใหญ่ http://webboard.news.sanook.com/forum/3003181
เราจะแก้ไขปัญหาแบงค์ทำนาบนหลังคน เฉกเช่นตัวเหลือบ ตัวปลิง ผีดิบเปรตปอบได้อย่างไร ? http://webboard.news.sanook.com/forum/3002948
แบงค์ชาติ สคบ.เจอตอหรือไง ทำไมไม่แก้ไขKBANKแบงคฺ์ทำนาบนหลังคนอย่างเลือดเย็นเสียที? http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3000148
เผด็จการการเมืองเลวร้ายยังไม่พอ ยังมาเจอเจ้าพ่อแบงค์แข่งกันรีดนาทาเร้นอีก ใครจะทนไหว http://webboard.news.sanook.com/forum/2995497
ธนาคารกสิกรไทย (หรือแบงคฺ์ต่าง ๆ) จงอย่าได้เป็น "แบงค์ที่ทำนาบนหลังคน" อีกต่อไปเลย http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=2990081.90
ประธาน KBANK นี้ช่างใหญ่โตจริงนะ แค่จะนัดพบ ผจ.เขตยังไม่กล้าขอ ลูกน้องเขากลัวหงอหมดแล้ว http://webboard.news.sanook.com/forum/2977839.html
KBANK นี้เส้นใหญ่จริง ๆ นะ นี่ขนาดร้องเรียนแบงค์ชาติกี่ครั้งกี่ปีก็ไม่ยี่หระ แบงค์ข้าใครอย่าแตะ http://webboard.news.sanook.com/forum/2988113.html
KBANK ใช้เล่ห๋เหลี่ยมหลอกให้ลูกค้าเสียเงินค่าธรรมเนียมฟรี ๆ ปราศจากความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้น http://webboard.news.sanook.com/forum/2985510_KBANK.html
KBANK ที่แท้ก็เป็นกันทั้งลูกพี่ลูกน้อง สนองนโยบายเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตายเช่นเดียวกัน http://webboard.news.sanook.com/forum/2984206.html
KBANK กลายเป็นเจ้าพ่อมาเฟียหรือเป็นยักษ์เป็นมารไปแล้วหรือนี่ ? http://webboard.news.sanook.com/forum/2978763.html
กรณ์สวนหมัดเสี่ยปั้น แนะเลิกฟันส่วนต่าง ดบ.บนหลัง ปชช. http://webboard.news.sanook.com/forum/2976901.html
กสิกรไทย "บริการห้ำหั่นอายัดเงินจนเกลี้ยงอย่างไร้ความยุติธรรม" http://webboard.news.sanook.com/forum/2976618.html
ธนาคารกสิกรไทยรีดเลือดกับปู ซื้อทรัพย์สินที่ยึดมาในราคาถูกมาก ขายได้ทุนคืน แล้วยังมาทวง http://webboard.news.sanook.com/forum/2976160.html
กล ยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตายของธนาคารกสิกรไทยที่ท่านควรทราบ ? http://webboard.news.sanook.com/forum/2970966.html
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
สัญญาณชัดขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย! ธปท.-แบงก์เห็นพ้องกดไม่ลงส่วนต่างดอกเบี้ย http://www.thairath.co.th/content/eco/96061
ประชุมร่วมแบงก์พาณิชย์ ธปท.แอบส่งซิกขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ระบุเศรษฐกิจขยายตัวดี ทำให้ต้องการแรงกระตุ้นจากรัฐน้อยลง ขณะที่บีบลดส่วนต่างดอกเบี้ยเหลว...
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายหลังการเชิญผู้บริหารธนาคารพาณิชย์มาหารือวานนี้ (13 ก.ค.) ว่า เป็นการพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงิน สถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน โดย ธปท.ได้ประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจครึ่งปีแรกให้ธนาคารพาณิชย์รับทราบว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของภาคเอกชน และการส่งออก ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองมีความเสี่ยงลดลง ทำให้การขยายตัวในครึ่งปีหลังเกิดขึ้นได้ต่อเนื่อง และความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐจึงมีความจำเป็นลดลง
ขณะที่ ธปท.ขอให้ธนาคารพาณิชย์เตรียมความพร้อมสำหรับเกณฑ์มาตรฐานทางการเงินใหม่ที่จะเริ่มนำมาใช้ในปี 2554 เช่น บาเซิล 3 และมาตรฐานทางบัญชี ไอเอเอส 39 ที่มีรายละเอียดมากขึ้น โดยจะมีการประเมินร่วมกันว่า เกณฑ์ใดที่มีความเหมาะสมนำมาใช้กับระบบสถาบันการเงินไทย
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากภาวะเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปีขยายตัวได้ค่อนข้างดีในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง ขยายตัวดีต่อเนื่อง ซึ่งจากทิศทางที่ ธปท.เล่าให้ฟัง ทำให้สามารถจับสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ว่าน่าจะเกิดขึ้น เพราะ ธปท.เห็นเป็นเรื่องจำเป็นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวได้ดี
"เท่าที่ ธปท.เล่าเกี่ยวกับเศรษฐกิจและแนวโน้มในอนาคต เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้แบงก์พาณิชย์ทราบแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ว่า จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่จะเป็นการปรับขึ้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันนี้ (14 ก.ค.) เลยหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นกับการประเมินภาพของ กนง.อีกครั้ง แต่เชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยไปค่อยไป ไม่ทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน และ ธปท.จะต้องมั่นใจก่อนว่าเศรษฐกิจในช่วงต่อไปขยายตัวได้ดีแน่นอน"
นายอภิศักดิ์กล่าวต่อว่า ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าว สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งประเมินไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์จะต้องปรับขึ้นในครึ่งปีหลัง ดังนั้น สัญญาณที่ ธปท.ส่งมาให้วันนี้ ธนาคารพาณิชย์คาดไว้ก่อนหน้าแล้ว นอกจากนั้น ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการประเมินผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งออกมาว่าค่อนข้างดี โดยธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ผ่านมาน้อยมาก
ขณะเดียวกัน ได้มีการประเมินส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากสุทธิ หรือ NIM ของระบบ ธนาคารพาณิชย์ด้วยว่า มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2552 ที่ผ่านมา รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.9% ในขณะที่สิ้นไตรมาสแรกอยู่ที่ 2.8%
"ธปท.ไม่ได้กดดันเรื่องบังคับให้ธนาคารพาณิชย์ ต้องปรับลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ลงอีกในการประชุมครั้งนี้ แต่ก็เข้าใจตรงกันมาตลอด และธนาคารพาณิชย์ก็พยายามดูแลส่วนต่างดังกล่าวให้ลดลงได้อีก ด้วยการลดต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่ง จะทำให้การส่งผ่านค่าใช้จ่ายไปยังไปประชาชนลดลง ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวไม่ใช่ทำแล้วจะได้ ทันที จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อปรับลดส่วนต่าง"
นายอภิศักดิ์กล่าวต่ออีกว่า ธปท.ได้ฝากให้ ธนาคารพาณิชย์เร่งปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งเป็นนโยบายที่ผู้ว่าการ ธปท.ขอให้ทำตั้ง แต่ต้นปีแล้ว และครั้งนี้ขอให้ช่วยกันปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมการให้บริการทางการเงินนั้น การบ้านเดิมที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ของ ธปท.คือ การปรับลดค่าติดตามทวงถามหนี้ให้ลดลงตามต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งได้ปรับลดค่าติดตามทวงถามหนี้ลงหมดทุกแห่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของค่าธรรมเนียมการให้บริการทางการเงินอื่น และการให้บริการผ่านระบบ การชำระเงิน ทาง ธปท.และธนาคารพาณิชย์ยังต้องดำเนินการศึกษาต้นทุนที่แท้จริง และอัตราการคิดค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน ยังอยู่ในโครงการที่ต้องทำร่วมกันต่อไป ซึ่งคาดว่าจะค่อยๆ ทยอยปรับปรุงค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมได้เป็นระยะๆ
"ส่วนเรื่องสุดท้ายที่ ธปท.ฝากคือ การใช้ระบบการอ่านเช็คด้วยภาพ ซึ่งจะช่วยให้การจ่ายเงินจากเช็คลดเวลาลงได้มาก แต่ในขณะนี้ยังมีปัญหาในส่วน ของเช็คของบางหน่วยงาน หรือประชาชนบางส่วนที่มีการใช้ตราประทับบนเช็ค ซึ่งไม่สามารถอ่านผ่าน ระบบภาพเช็คได้ ซึ่งทำให้เช็คส่วนนี้ต้องใช้เวลาหลายวันในการตรวจสอบและชำระเงินผ่านเช็ค จึงได้ฝากธนาคารพาณิชย์ไปทำความเข้าใจกับลูกค้า".
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
จากข่าว "ส่วนต่างอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากสุทธิ หรือ NIM ของระบบ ธนาคารพาณิชย์ด้วยว่า มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2552 ที่ผ่านมา รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.9% ในขณะที่สิ้นไตรมาสแรกอยู่ที่ 2.8%" จริง ๆ แล้วแบงค์พาณิชย์กินส่วนต่างประมาณ 5 % หรือมากกว่านั้น นี่คือการเอาเปรียบประชาชนหรือลูกค้าที่น่าเกลียดมาก ๆ กินส่วนต่างชดใช้หนี้เสียที่แบงค์ทำเจ๊งเองแล้วไม่ยอมรับความจริง ทีเวลากำไรทำไมไม่แบ่งคืนให้ลูกค้าบ้างล่ะ กรุณาดูจากตารางดอกเบี้ยของแบงค์ชาติข้างล่างประกอบ อัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ ของธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ 13 กรกฎาคม 2553 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดา ของธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ 13 กรกฎาคม 2553http://www.bot.or.th/thai/statistics/financialmarkets/interestrate/_layouts/application/interest_rate/IN_Rate.aspx
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
กระทู้แนะนำครับ ต้องโหดร้ายขูดรีดเอาเปรียบได้เลวสุด ๆ อย่างนี้สินะ จึงชนะได้เป็นผู้ว่าแบงค์ชาติ! http://webboard.news.sanook.com/forum/3163012 เบื่อคำโฆษณาสร้างภาพมายาจอมปลอมหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อโดยไม่รู้จักละอายใจ "บริการทุกระดับประทับใจ" ที่แท้กลายเป็น "บริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตาย" ในเมื่อนายประสารไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ร้องเรียนมากว่า 5 ปีนี้ได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่เป็นธรรม แล้วอย่างนี้ยังมีหน้ามาเสนอหน้าเป็นผู้ว่าการแบงค์ชาติโดยไม่รู้จักละอายแก่ใจตัวเองบ้างเลย อีกไม่กี่วันก็จะออกจากกสิกรไทยไปแล้ว ปัญหาก็ยังคาอยู่ แล้วจะมาสู้หน้าผู้ร้องเรียนได้อย่างไร ศักดิ์ศรีว่าที่ผู้ว่าการแบงค์ชาติคนใหม่ จะหาได้จากที่ไหนกัน น่าขายหน้าเสียจริง ๆ
เบื่อหน่วยงานของรัฐที่ทำงานสนองนโยบายเฉกเช่นขี้ข้าสอพลอไร้ประสิทธิภาพไร้จุดยืน เบื่อนักการเมืองที่ไร้ความกล้าหาญในการยืนหยัดเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เบื่อผู้นำหลักการเสื่อม ไร้คุณธรรม ห้ำหั่นเข่นฆ่าเพื่อนร่วมชาติอย่างป่าเถื่อนไร้ความปรานี เมื่อไรเราถึงจะมีคนดี ๆ มีความกล้าหาญที่สามารถยืนหยัดต่อสู้เพื่อรักษาความเป็นธรรมในสังคมให้คงไว้ เมื่อไรบ้านเมืองจึงจะสงบสุข มีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงเสียที
กรุณาอ่านข้อมูลที่เรียบเรียงอย่างดีจากกระทู้ข้างล่างนี้ประกอบด้วย นี่หรือว่าที่ผู้ว่าการแบงค์ชาติ ? แค่ปัญหาลูกค้าเล็ก ๆ ที่ร้องเรียนมากว่า 5 ปี ยังไม่มีปัญญาแก้ไขได้เลย http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3155947.0;all จากกระทู้ประกอบข่าวข้างล่างนี้ท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง ? มิน่าล่ะ วันนี้โทรไปหาผู้รับเรื่องโกหกและปัดอย่างมะนาวไม่มีน้ำว่า ไม่ได้รับหนังสือร้องเรียนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เรื่อง ร้องเรียนธนาคารกสิกรไทยและธนาคารต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ผู้นี้ มีการเจรจากับผู้จัดการเขตให้ระงับหนังสือร้องเรียนไว้ก่อน แต่ผมโทรแจ้งยืนกรานไปว่าให้ดำเนินการตามที่ร้องเรียนไว้ดังเดิม มิหนำซ้ำเจ้าหน้าที่นี้ยังรีบยุติตัดบทการสอบถามขอคำตอบโดยให้ผู้ร้องคิดเอาเองเสียอีกด้วย โทรหาหน้าห้องท่านผู้ว่าการฯ ว่าเจ้าหน้าที่ไม่เป็นกลางและไม่ใส่ใจในเรื่องที่ร้องเรียน ขอพบผู้ว่าก็อ้างมีคิวเยอะ ผู้ที่มีอาวุโสเหนือกว่าผู้ที่รับเรื่อง ก็ให้ชื่อและเบอร์ไว้ แต่ไม่ยอมโอนให้ จึงต้องโทรไปใหม่ ปรากฎว่าท่านไม่อยู่ ไปต่างประเทศ กว่าจะกลับก็อีกหนึ่งอาทิตย์ ให้ต่อรองผู้ว่า ก็แกล้งไม่รับสาย โทรไปติด แต่กเลขาหน้าห้องรองผู้ว่าซึ่งน่าจะรู้เรื่องดีก็กดทิ้ง โทรหาผู้จัดการเขตก็อ้างติดประชุมทุกครั้ง และยังไม่มีคำตอบที่ชอบด้วยเหตุผลให้อยู่ดี ถ่วงเวลาไปเรื่อย ๆ เหมือนเช่นทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยมีเจตนาไม่ชอบมาพากล แล้วหากว่าที่ผู้ว่าแบงค์ชาติท่านใหม่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย มารับตำแหน่งเมื่อไร ท่านจะกล้าสั่งให้ดำเนินการลงโทษธนาคารกสิกรไทยตามเรื่องที่ร้องเรียนมากว่า 5 ปี หรือ ? (รวมทั้งแบงค์อื่น ๆ ตามข้อมูลที่บรรจุไว้ในซีดีด้วย) ร้องKBank แกล้งเอาเปรียบมา 5 ปี +ร้องแบงค์ชาติและสคบ.กว่า 3 ปี+สนุก 5 เดือน เหมือนไร้ผล http://webboard.news.sanook.com/forum/3140735ร้องเรียนKBankกลั่นแกล้งเอาเปรียบมาประมาณ 5 ปี +แบงค์ชาติและสคบ.กว่า 3 ปี+สนุก 5 เดือน ดูเหมือนไร้ผล สืบเนื่องมาจากการร้องเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านเว็บบอร์ดอาชญากรรม-สังคมของเว็บสนุกมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 5 เดือน โดยมีกระทู้หลักว่า
กลยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตาย ของธนาคารกสิกรไทยที่ท่านควรทราบ ? http://webboard.news.sanook.com/forum/2970966.html
และได้แตกกระทู้ออกไปอีกประมาณ 40 กระทู้ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการพิจารณาให้เป็นประเด็นร้อนสุด ๆ มาโดยตลอด มีคนสนใจเข้ามาอ่านรวมเกินกว่า 130000 ครั้ง ต่อมาได้ถูกลบออกไปหมด จนปัจจุบันนี้มีกระทู้เหลืออยู่เพียง 3 กระทู้ดังนี้
ขึ้นบอร์ดกระทู้แนะนำแล้ว ! พวกสันดานแบงค์ อภิสิทธิ์ชน พรรคประชาวิบัติ ใครเลวกว่ากัน ? http://webboard.news.sanook.com/forum/3042091_ขึ้นบอร์ดกระทู้ แนะนำแล้ว_!_พวกสันดานแบงค์_อภิสิทธิ์ชน_พรรคประชาวิบัติ_ใครเล.html
ประกาศ ! กระทู้ KBank และ... ที่โดนลบ ได้เขียนใส่ CD ส่งถึงผู้ว่าการแบงค์ชาติเรียบร้อยแล้ว http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3055870
เทวดามีจริงหรือ ?- ฉีกหน้ากากเทวดา +คลิปตาสว่าง+กระทู้แนะนำโดยสมาชิก http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3064283
หลังจากหยุดโพสต์มานานหลายเดือนเพราะต้องการรอคำตอบจากท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและสคบ. ก่อน จนกระทั่งวันที่ 1 มิถุนายน 2553 จึงได้รับหนังสือตอบอย่างเป็นทางการจากธนาคารแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนกลับไปใหม่ดังนี้ (อ่านต่อด้านล่างเนื่องจากจำนวนคำเกิน 6000 ตัวอักษร)ส่วนทางสคบ.เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทราบว่า ให้ยุติเรื่องสั้น ๆ จะทำหนังสือแจ้งให้ทราบ รอมาร่วม 2 อาทิคย์แล้วก็ยังไม่ได้รับ หากได้รับเมื่อไรก็จะดำเนินการร้องเรียนแย้งกลับเช่นเดียวกับที่ทำกับแบงค์ชาติเช่นกัน จึงได้ตัดสินใจตั้งกระทู้นี้เพื่อชี้แจงให้เพื่อนสมาชิกที่เคยติดตามกระทู้ผมมาโดยตลอด รวมทั้งเพื่อนสมาชิกท่านอื่น ๆ ที่สนใจ จะได้รับทราบ และช่วยกันออกความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป กระทู้โปรด-27-2-2553
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
2 มิถุนายน 2553 เรื่อง ร้องเรียนธนาคารกสิกรไทยและธนาคารต่าง ๆ เรียน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อ้างถึง หนังสือที่ฝวต.(43) 292/2553 เรื่องร้องเรียนธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 ตามที่ท่านได้มีหนังสือตอบเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 นั้น ข้าพเจ้าเพิ่งได้รับเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนนี้เองซึ่งการตอบครั้งนี้ถือว่าล่าช้ามาก (กว่า 5 เดือน) และไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ ตามการร้องเรียนทั้ง 3 ครั้ง (23 ธันวาคม 2552 11 มีนาคม 2553 และ 1 เมษายน 2553) ของข้าพเจ้าแต่อย่างไร การที่ท่านได้ส่งหนังสือตอบจากทางกสิกรไทยแนบมา 2 ฉบับนั้น ( 22 ตุลาคม 2552 และ18 ธันวาคม 2552) ก็เป็นคำตอบที่ข้าพเจ้าได้โต้แย้งทั้งทางตรงและทางโทรศัพท์มาหลายครั้งหลายหนแล้วว่าไม่ตรงจริง ขาดความจริงใจ และตอบไม่ตรงประเด็น นอกจากนี้ คำร้องเรียนของข้าพเจ้าพร้อมข้อมูลตามกระทู้ที่ตั้งในบอร์ดแสดงความคิดเห็นใน www.sanook.com นั้น นอกจากจะเป็นการร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมในเรื่องที่ข้าพเจ้าถูกธนาคารกสิกรไทยฯ กลั่นแกล้งเอารัดเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรมจนข้าพเจ้าต้องสูญสิ้นลูกค้าและไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยทางธนาคารมีจุดมุ่งหมายที่จะยึดทรัพย์สินเพื่อดำเนินการขายทอดตลาดและขูดรีดเอาเปรียบดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นกับนาย.......... น้องชายของข้าพเจ้าตามรายละเอียดในหนังสือร้องเรียนกรรมการผู้จัดการใหญ่เพื่อประกอบกระทู้ กลยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตายของธนาคารกสิกรไทยที่ท่านควรทราบและธนาคารกสิกรไทยรีดเลือดกับปู ซื้อทรัพย์สินที่ยึดมาในราคาถูกมาก ขายได้ทุนคืน แล้วยังมาทวง ข้าพเจ้ายังมีข้อร้องเรียนภาพโดยรวมของธนาคารต่าง ๆ ที่คิดจ้องแต่จะหาช่องทางเอารัดเอาเปรียบลูกค้าอย่างสุด ๆ อีกมากมายด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกฎกติกาสัญญาเพิ่มเติมตามใจชอบ ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างเงินฝากและเงินกู้มากเกินไป การเพิ่มค่าธรรมเนียมการให้บริการแบบมัดมือชก เช่น บัตร ATM การทำประกันในรูปแบบต่าง ๆ การออกหนังสือรับรองต่าง ๆ ฯลฯ การใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลูกค้าให้เสียค่าธรรมเนียมฟรี ๆ โดยไม่ได้อะไรเลย (ดังที่ข้าพเจ้าโดนมาแล้ว 2 ครั้ง เสียค่าประเมิน 2 ครั้ง แทนที่จะได้กู้เพิ่ม กลับโดนหั่นวงเงินเดิมขณะที่กำลังต้องการเงินหมุนเวียนเพิ่มจนต้องสูญสิ้นลูกค้าหมด และมีอีก 2 ราย ที่เสียค่าธรรมเนียมประมาณ 200,000 บาทโดยไม่ได้เงินกู้ ตามข้อมูลในแผ่น CD) ฯลฯ การที่ท่านได้ให้ฝ่ายกฎหมายของทางธนาคารพิจารณามาเป็นเวลานานและการที่ข้าพเจ้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมมาเกินกว่า 3 ปี แล้วท่านได้แต่ตอบมาสั้น ๆ ว่า หากธนาคารแห่งประเทศไทยพบหลักฐานว่า ธนาคารกสิกรไทย ฯ มีการกระทำที่อาจเข้าข่ายการปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินภายใต้อำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย จักได้พิจารณาดำเนินการตามควรแก่กรณีต่อไป ท่านคิดไหมว่าผู้ร้องเรียนจะรู้สึกอย่างไร การที่ข้าพเจ้าร้องเรียนแจ้งให้ทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า กรณีที่ทางธนาคารกสิกรไทย ฯ โฆษณาว่า “บริการทุกระดับประทับใจ” แต่ในความเป็นจริงที่ข้าพเจ้าได้รับคือ “บริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตาย” ตามกระทู้ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ว่า “กลยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตายของธนาคารกสิกรไทยที่ท่านควรทราบ” ซึ่งรวมทุก ๆ กระทู้ที่แตกออกไป มีคนอ่านกว่า 130,000 ครั้งได้ และเกือบทุกกระทู้ที่แตกออกไปก็ได้รับการยกขึ้นเป็นประเด็นร้อนสุด ๆ ในเว็บดังกล่าว หรือการลงข้อความในหนังสือรายงานประจำปีว่าธนาคารกสิกรไทย ฯ บริการโดยมีจริยธรรมและคุณธรรม แต่กลับทำตรงกันข้าม อย่างนี้ยังไม่ถือว่าธนาคารไม่ผิดสัญญาอีกหรือ ถ้าหากธนาคารกสิกรไทย ฯ เป็นธนาคารเถื่อนให้กู้ให้บริการนอกระบบและไม่มีโฆษณาเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็คงจะไม่มีข้อสงสัยค้างคาใจหรือติดใจที่ต้องร้องเรียนอีกต่อไป ปัจจุบันนี้ท่านคงทราบดีว่าประเทศไทยปกครองโดยอำนาจดำมืดเผด็จการ ไร้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รัฐบาลปัจจุบันนี้ก็มีรากเหง้ามาจากเผด็จการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ยิ่งการกระทำของรัฐบาลล่าสุดที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะกรณีการสั่งทหารมาเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าอย่างป่าเถื่อนโหด***มอำมหิตผิดมนุษย์มนาจนได้รับการตั้งฉายาว่า “รัฐบาลเผด็จการทรราชชาติชั่วมือเปื้อนเลือด” ข้าพเจ้าจึงไม่ประสงค์ให้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยมีภาพลักษณ์เลวทรามต่ำช้าดังเช่นที่รัฐบาลเป็นอยู่นี้ การส่งเสริมให้ธนาคารต่าง ๆ เอารัดเอาเปรียบประชาชนจนเกินกว่าเหตุ เท่ากับเป็นการซ้ำเติมประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นไปอีก โคลงกลอนและเพลงที่ข้าพเจ้าแต่งตามที่ได้แสดงในกระทู้นั้น เป็นการสะท้อนภาพให้เห็นได้เป็นอย่างดี หากท่านไม่ทำหน้าที่ที่ควรทำเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีไว้ ต่อไปท่านจะมีความภาคภูมิใจได้หรือในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยผู้ทรงเกียรติ หรือท่านต้องการให้มีคนประณามดังเช่นคุณนะฮะที่มาตอบกระทู้หนึ่งดังนี้
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
นะฮะ ระวังน้า คุณหนูเสี่ยปั้นKbank แบงค์ต่าง ๆ ทำเยี่ยงนี้ มีหรือที่เปตนรกอบายภูมิจะไม่ถามหา http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3008259.new#new คุณ Jr...... คนพวกนี้..เขาไม่ได้นับถือศาสนาเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป....เขาจึงไม่เกรงกลัวนรก หรือบาปกรรมใด ๆ..... แต่คนพวกนี้..เขานับถือ สตังค์ สรณัง คัจฉามิ.. .ต่างหากล่ะ...... คุณไปร้องที่แบ้งค์ชาติ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย...... ผมก็ยังเห็นว่า....แบ้งค์ชาติ..นั่นแหละตัวดีเลยหละ....... ผู้ว่าการแบ้งค์ชาติ นั้น เป็นประธานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน...อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย... และกองทุนฟื้นฟูฯก็ไปตั้งบสส. หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ชื่อต่าง ๆ ขึ้นมา...แล้ว บสส.เหล่านั้น..ก็ไปนำเอาสินทรัพย์ที่มีปัญหาจากธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ มาขูดรีด...ทุกวิถีทางเอาจากคนไทยตาดำ ๆ ที่เป็นลูกหนี้....ของธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ แล้วประสบเคราะห์กรรมทางเศรษฐกิจ... บริษัทบริหารสินทรัพย์ฯ จึงมีสถานะเป็นสถาบันการเงินของรัฐ เพราะมีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด ..คณะกรรมการบอร์ดใหญ่ก็ได้แก่ปลัดกระทรวงการคลังและ อธิบดีฯต่าง ๆ ในกระทรวงการคลัง ส่วนผู้จัดการ หรือผองส่วนต่าง ๆ ก็คือ คนที่มาจากธนาคารแห่งประเทศไทยแทบทั้งสิ้น.... โดยหนี้สินที่ลูกหนี้คงค้างชำระ..ซึ่งอาจเหลือเพียง 25 % ของยอดเงินกู้เดิม แต่ลูกหนี้ต้องถูกบริษัทบริหารสินทรัพย์ฯขูดรีดไปสูงถึง 8-900 % ของหนี้ค้างชำระทีเดียว.... หากไม่ให้ก็จะถูกฟ้องขับไล่ให้โยกย้ายออกจากบ้านตนเอง.....หรืออาจถูกจับตัวจำขังฐานขัดคำสั่งศาลได้...... ปีศาจ...ทั้งน้าน....แหละคุณเอ้ย.......!!!!!!( อ้อ..ผู้ว่าแบ้งค์ชาติ กินเงินเดือน ๆ ละกว่า 2 ล้านบาท...ส่วนรองฯ หรือตำแหน่งอื่น ๆ ก็ลดหลั่นกันลงมา....แต่หากทำงานผิดพลาดทำให้ประเทศเจ้งบ้งเสียหายไปนับหลายแสนล้าน....ก็ไม่ต้องชดใช้ใด ๆ....เพราะไม่มีปัญญาชดใช้....)ข้าพเจ้าขอยืนกรานในการร้องเรียนต่อไปจนกว่าท่านหรือท่านผู้ว่าการท่านใหม่จะให้ความเป็นธรรมทั้งการร้องเรียนเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม ขอให้ท่านกรุณามีคำสั่งการให้ส่วนงานหรือหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ความร่วมมือในการช่วยแก้ไขปัญหาตามหนังสือร้องเรียนและ/หรือข้อมูลดังที่ปรากฏอยู่ใน CD ที่ข้าพเจ้ามอบให้ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะกรุณาให้ได้คำตอบที่ชอบด้วยเหตุผลและชอบธรรมโดยเร็วด้วย
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
jrchai
ร้องKBank แกล้งเอาเปรียบมา5ปี+ร้องแบงค์ชาติและสคบ.กว่า3ปี+สนุก5เดือน เหมือนไร้ผล http://webboard.news.sanook.com/forum/3140735 ตอบ #6 เมื่อ: 22 มิ.ย. 10, 13:34 น ยังไม่จบเรื่องอีกหรอเนี้ย
ลองไปร้องเรียนที่หนังสือพิมพ์มั้งยัง ธนาคารหลายๆทนาคารก็พักพวกกันทั้งนั้น ตอนนี้ไม่ว่าจะกี่เสียงความเดือดร้อน มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
ตอนนี้ มหาอำนาจ ครองเมือง คนมือเท้าครบ32 เดือดร้อนอย่าหวังว่ามันจะช่วย ขนาดคนพิการเดือดร้อนเรื่องอาชีพทำกินที่ถูกพักพวกกันแย่งอาชีพคน
พิการ มันยังไม่สนใจเลย ไล่ตะคลุบจับเข้าคุกหมด ประเทศไทยตอนีมีแต่พวกบ้าอำนาจ แย่ที่สุด
สู้มันต่อไปนะ
ขอบคุณครับ คุณ จขกท ที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นและให้กำลังใจเป็นอย่างดี เรื่องนี้คงอีกยาวนานครับกว่าจะจบ เพราะพวกสันดานเจ้าพ่อมาเฟียแบงค์นั้นอิงกับอำนาจเผด็จการมืดดำที่ชั่วร้ายดังที่คุณทราบดี ตราบใดที่บ้านเมืองปกครองโดยพวกโจรกบฏเผด็จการทรราชชาติชั่วมือเปื้อนเลือดไร้คุณธรรม ซ้ำยังใจดำโหด***มอำมหิตบงการสั่งเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าอย่างเลือดเย็นที่สุด รวมทั้งการตามล้างตามผลาญล่าสังหารใส่ร้ายป้ายสีคนดี ๆ อยู่เช่นนี้ คนดี ๆ ที่ไหนเขาจะยอม จึงต้องออกมาร่วมมือร่วมใจกันแสดงพลังเรียกร้องต่อสู้ต่อต้านให้ถึงที่สุด จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและความเป็นธรรมกลับคืนมาด้วย
สำหรับเรื่องส่วนตัวผมนั้นเป็นเรื่องเล็กครับ แต่เรื่องส่วนรวมนั้นสำคัญกว่ามากมายนัก ทางธนาคารเจ้าเล่ห์จะเสนอลดดอกเบี้ยเงินกู้ชดเชยความสูญเสียให้ 1 % คืนเงินที่หั่นไปโดยไม่ชอบธรรม รวมทั้งคืนเงินค่าประเมินที่ดินที่บริษ้ท PROGRESS APPRAISAL ประเมินที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก และไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการเพราะสมรู้ร่วมคิดกับแบงค์กสิกรไทยเพื่อต้องการเอาเปรียบและปฏิเสธการกู้เงินเพิ่มจากหลักทรัพย์เดิม โดยทางธนาคารมีเงื่อนไขให้หยุดร้องเรียนเรื่องทั้งหมดที่จะทำให้ธนาคารเสียหาย และไม่ขอกู้เพิ่มอีกต่อไป ซึ่งผมทำไม่ได้เนื่องจากเรื่องส่วนตัวนั้น 2-3 เรื่ือง ตามที่เรียกร้องนั้น เป็นสิ่งที่ทางธนาคารสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรีบทำอยู่แล้ว -การลดดอกเบี้ย 1 % นั้น จริง ๆ แล้ว ทุกธนาคารสมควรลดให้ผู้กู้ทั่วทั้งประเทศด้วยซ้ำไป เพราะธนาคารเอาเปรียบจากการลดดอกเบี้ยเงินฝาก 0.5 %และเงินกู้ 0.25 % มา 3-4 ครั้ง รวม 0.75-1 % อยู่แล้ว -ส่วนเงินที่หั่นไปโดยไม่ชอบธรรมนั้น ตราบใดที่ธนาคารไม่คืนให้ ก็ไม่สามารถที่จะโฆษณาว่าแบงค์มีคุณธรรมจริยธรรมอีกต่อไป -เรื่องเงินค่าประเมินที่ดินที่จะเจรจาคืนให้แล้วให้ยุติเรื่องนั้น แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของสคบ. -ส่วนการกู้เงินเพิ่มเติมที่แบงค์ปฏิเสธมาโดยตลอดนั้น ตอนนี้ผมสูญลูกค้าไปหมดแล้ว และไม่มีแก่ใจที่จะคิดทำอะไรในตอนนี้เพราะมีรัฐบาลเผด็จการทรราชชาติชั่วมือเปื้อนเลือด โคตรชั่วแสนห่วยแสนเลวทรามต่ำช้าหน้าด้านไร้ยางอาย ถ้าหากวันข้างหน้าผมมีโครงการดี ๆ มาเสนอ ก็ควรพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่มาสั่งห้ามเสนอหรือหากเสนอครั้งเดียวไม่ผ่านก็ให้ยุติ อย่างนี้เท่ากับแสดงว่าธนาคารชอบใช้อำนาจเผด็จการที่ไม่ชอบธรรม สนองตามนโนบายกลั่นแกล้งเอาเปรียบลูกค้าอย่างสุด ๆ ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนับว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง
สำหรับเรื่องส่วนรวมนั้น เช่น -การคืนเงินที่หักโดยมิชอบจากบัญชีกระแสรายวัน 100 บาทต่อเดือน และ 50 บาทต่อเดือนจากบัญชีออมทรัพย์ และควรยกเลิกกฎนี้ทิ้งไปเสีย -ส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากมากเกินไป อย่างน้อยควรลดเงินกู้ลงอีก 1 % -ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ธนาคารเพิ่มเอาเองตามใจชอบแบบมัดมือชก -บัตรเครดิต บัตร ATM -เครื่องรับฝากเงินสดกินเงิน ตู้ ATM -การใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกผู้กู้ให้เสียค่าธรรมเนียมเกินจำเป็น เสียค่าประเมินฟรีแล้วไม่อนุมัติ เสียค่าประกันเพิ่มโดยใช่เหตุ ฯลฯ -รวมทั้งเรื่องปลีกย่อมอีกมามายในแผ่น CD เช่น การให้บริการไม่ดี การให้ข้อมูลไม่ชัดเจนทำให้ลูกค้าเสียหาย การเอารัดเอาเปรียบลูกค้าอย่างหน้าด้าน ๆ ให้มากที่สุด การสร้างความรำคาญขายโน่นขายนี่เพื่อสร้างยอดและผลงาน การมีทัศนคติจิ้งจอกเจ้าเล่ห์โกหกหน้าตายไร้ยางอายไร้คุณธรรม ฯลฯ
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
jrchai ร้องKBank แกล้งเอาเปรียบมา5ปี+ร้องแบงค์ชาติและสคบ.กว่า3ปี+สนุก5เดือน เหมือนไร้ผล http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3140735.0;all ตอบ #33 เมื่อ: 26 มิ.ย. 10, 11:01 น ก็ในเมื่อคุณไม่สนใจอ่านกระทู้ที่ผมตั้ง แล้วยังมาแสดงความคิดเห็นเสมือนตาบอดคลำช้างเสียยืดยาว จะใช้ได้ที่ไหน คุณมัวแต่เดาสุ่มสี่สุ่มห้า ไร้ความเข้าใจในหลักการที่ถูกต้องของการเสนอความคิดเห็นขั้นพื้นฐาน ผมว่าเสียเวลาเปล่า หากคุณโหลดกระทู้ที่ผมแปะไว้ให้ไปอ่านศึกษา คำตอบจะมีอยู่ในนั้นมากมาย และมีสาระมากจนคุณอาจคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำไป การที่ผมยอมเสียสละเวลามาตั้งกระทู้เพื่อให้คนรับรู้ความไม่ดีไม่งามและการเอารัดเอาเปรียบของแบงค์อย่างต่อเนื่องนั้น คุณเองก็น่าจะทราบดีว่า น่าจะมีผลดีผลร้ายอย่างไร ไม่เช่นนั้น คุณก็คงไม่เสียเวลามาตอบโต้สะเปะสะปะอย่างนี้หรอก รูปแบบของคนที่มาโต้กับผมนั้นมีสารพัดอย่างซึ่งคุณสามารถหาอ่านได้ในกระทู้ที่ผมแนะนำ และอย่ามาดูถูกดูแคลนว่าเป็นการด่าไร้สาระเด็ดขาด แค่หัวข้อการร้องเรียนทั้งส่วนตัวและส่วนรวมนั้น ก็นับว่ากระทู้นี้เต็มไปด้วยสาระอยู่แล้ว ทำไมคุณไม่ลองโหลดมาอ่านและศึกษาดูล่ะ รับรองว่าจะเกิดประโยชน์อย่างแน่นอน
คุณคิดว่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ที่ผมได้เสนอไปเป็นเรื่องไร้สาระหรืออย่างไร -การหัก 50-100 บาท/เดือน เป็นการเก็บค่ารักษาบัญชีที่ค้ากำไรเกินควรด้วยเจตนาจะล้างบัญชีจนลูกค้าตายจากไป เงินที่ดูดเลือดไปจากประชาชนเข้ากระเป๋าแบงค์ไปเป็นเงินเท่าไร นับไม่ถูก -ส่วนต่างดอกเบี้ยมากเกินควร ส่วนหนึ่งมาหักค่าเสียหายใช้หนี้ที่แบงค์ทำเจ๊งเองตอนเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ แล้วเวลากำไร ทำไมแบงค์ไม่แบ่งคืนประชาชนหรือผู้ฝากเงินบ้างหรือไม่ เงินแค่ 0.5-1 % แบงค์ก็ได้เงินจำนวนมหาศาลแล้ว -บัตรเอทีเอ็มขึ้นจาก 100 บาท เป็น 200 บาทแบบมัดมือชกด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกลสารพัดที่งัดเอามาใช้ ฟาดกำไรเพิ่มไป 100 % -ตู้รับฝากเงินสดกินเงินคราวละ 100 500 หรือ1000 บาท หากไม่ร้องเรียน เข้ากระเป๋าใคร หากมีหลายร้อยหลายพันตู้ จะเป็นเงินเท่าไร มีการตรวจสอบแก้ไขตู้ทั้งหมดให้มีสภาพดีแล้วหรือยัง รวมทั้งตู้เอทีเอ็มที่เสียในบางครั้งด้วย ร้องเรียนกว่าจะได้คืนยากลำบากมาก -วันดีคืนดีเงินในบัญชีถูกอายัดเกลี้ยงทั้ง ๆ ที่ต้นเหตุมีแค่หนึ่งในสี่ ไม่มีวันคืน 3 ส่วนให้ แม้จะชี้แจงด้วยเหตุด้วยผลอย่างไรก็ไม่รับฟัง -อยู่ดี ๆ เรื่องยังไม่สิ้นสุด ก็มาขอให้เขียนหนังสือยอมให้หักเงินในบัญชีหมุนเวียนไปครึ่งหนึ่ง ในขณะที่มีเงินเหลืออยู่น้อยมากอยู่แล้ว -เงินประกันอัคคีภัยยังทำเกินกว่าเงินกู้ถึง 7 เท่า ก็ทำมาแล้ว บ้านที่อยู่เฉย ๆ ก็ทำแบบประกันธุรกิจเสียเกินจริงกว่า 10 ปี ทำประกันเกินยอดที่กู้แบบจำยอม -สมรู้ร่วมคิดกับบริษัทประเมินหลักทรัพย์ ในอดีตเจอแบงค์ทำเองประเมินต่ำติดดินอย่างไร ปัจจุบันก็เฉกเช่นเดียวกัน เอาเปรียบอย่างสุด ๆ -ยึดหลักทรัพย์ลูกค้า แล้วขายทอดตลาดเอง ประเมินเองต่ำ ๆ ขายได้เงินทุนคืน แล้วยังมาทวงหนี้เท่าเดิมอีก -หลอกลูกค้าเสียค่าประเมินค่าใช้จ่ายฟรีโดยไม่แจ้งให้ทราบว่า แบงค์ประเมินได้มากน้อยเพียงไรไม่สามารถให้กู้ได้ ใช้กฎที่ไร้ความเป็นธรรม -บวกดอกเบี้ยบัญชีใหม่มากกว่าบัญชีเดิมถึง 1.75 เป็นปี ๆ หากไม่รู้ไม่ทักท้วง ก็ต้องจ่ายไปเรื่อย ๆ -เงินกู้ผ่อนหมด ไม่ปรับเป็นโอดีให้ตามสัญญาถึง 2 ครั้ง ต้องทักท้วงจึงจะได้ ฯลฯ
-การยอมพวกโจรกบฏรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นรัฐาธิปัตย์ -รัฐบาลไม่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ แต่งตั้งกันเองโดยการบีบบังคับ ไร้ความชอบธรรม -รัฐบาลและผู้บงการเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่า ทั้ง ๆ ที่ในสงครามเขายังยกเว้น -ตุลาการยอมรับโจรกบฏรัฐประประหาร ไม่สามารถฟ้องร้องได้ ไร้ความเป็นธรรมจนได้รับฉายาตุลาการวิบัติ ฯลฯ
ฉะนั้น คราวหน้าคราวหลัง อย่าได้มาติเรือทั้งโกลนโดยไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีเสียก่อนจะดีกว่า หากไม่รู้จริงก็น่าจะเจียมตัวสักนิดก็ยังดี เรื่องบัตรเครดิตนั้นก็อิงกับบัญชีแบงค์อยู่และผมไม่เคยมีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้นตลอดกว่า 21 ปีที่เปิดบัญชีมา ไม่เชื่อก็ถามแบงค์ดูได้ อย่ามาเนียนอิงแอบเข้าข้างแบงค์และดิสเครดิตผมจะดีกว่า โคลงกลอนต่าง ๆ นั้น ผมกลั่นออกมาจากใจตามความเป็นจริง น่าจะแสดงให้เห็นชัดแล้วนะครับทุกวันนี้ ใคร ๆ เขาก็รู้กันว่าโจรครองเมือง ตุลาการวิบัติ รัฐบาลฆาตกรมือเปื้อนเลือด ความเป็นธรรมแทบหาไม่ได้ ยิ่งมาเจอแบงค์สันดานชั่วอีก ใครจะรับไหว ก็ต้องมาประจานให้เพื่อน ๆ ที่คิดเหมือนกันได้รับรู้เพื่อช่วยกันต่อสู้ต่อต้านให้ถึงที่สุด หรือคุณจะยอมเป็นขี้ข้าพวกชั่วช้าสารเลวเหล่านี้ ให้กระทำการย่ำยีโกงกินตามอำเภอใจ จนบ้านเมืองฉิบหายตำตาตำใจอีกต่อไปโดยไม่ทำอะไรบ้างเลยหรือ ช่วยตอบผมให้ชื่นใจสักนิดก็ยังดี
****************************************************** ขอแนะนำกระทู้ที่รวมเอาความคิดเห็นสำคัญ ๆ จากกระทู้ต่าง ๆ หลายสิบกระทู้ที่แตกออกไปมารวมกัน ท่านที่สนใจสามารถที่จะดาวน์โหลดได้ จากลิ้งค์ที่ให้ไว้ข้างล่างนี้ครับ ใช้โปรแกรม winrar แตกไฟล์ จะได้ 13 แฟ้ม แฟ้มที่ 1-12 ต้องใช้โปรแกรม OPERA ที่ว่างเปล่า ไม่มีการเปิดเว็บใด ๆ ค้างไว้ จึงจะเปิดได้ (โหลด opera ฟรีได้จากลิ้งค์นี้ครับ http://www.opera.com/download/) ส่วน แฟ้มที่ 13 นั้น เปิดโดย browser ใด ๆ ก็ได้
กลยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตายของธนาคารกสิกรไทยที่ท่าน ควรทราบ http://www.mediafire.com/?oiynzncah3m#2
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
กระทู้นี้โดนมือร้ายลบอีกแล้วครับ ? ประกาศ ! กระทู้ KBank และ... ที่โดนลบ ได้ เขียนใส่ CD ส่งถึงผู้ว่าการแบงค์ชาติเรียบร้อยแล้ว http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3055870 (กระทู้นี้เคยได้รับการเลือกเป็นกระทู้แนะนำโดยสมาชิก แล้วก็โดนปลดออกตามที่ผมเอ่ยไว้ข้างบนนี้)สนใจอ่านกระทู้ที่มีสาระและป็นประโยชน์ประกอบกระทู้นี้ได้เป็นอย่างดี ดาวโหลดได้จากที่นี่ครับ
ประกาศ กระทู้ KBank แตกไฟล์ได้ 2 แฟ้มครับ http://www.mediafire.com/?nkymnkrzk5d#2
โหลดแฟ้มเต็มครบถ้วนแฟ้มเดียวได้ที่นี่ แต่ต้องใช้โปรแกรม OPERA เปิดครับ http://www.mediafire.com/?jthihnzfnzj
jrchai Level 11 ความคิดเห็น: 1,368
ประกาศ ! กระทู้ KBank และ... ที่โดนลบ ได้เขียนใส่ CD ส่งถึงผู้ว่าการแบงค์ชาติเรียบร้อยแล้ว เมื่อ: 11 มี.ค. 10, 20:42 น วันนี้ผมถือว่าเป็น โอกาสอันดีที่จะประกาศแจ้งให้เพื่อนสมาชิกทั้งหลายได้ทราบว่า กระทู้ ต่าง ๆ ในเว็บบอร์ดสนุกที่ผมตั้งมารวมมากกว่า 40 กระทู้ ตั้งแต่วันที่ 27-10-52 เป็นต้นมา แม้ว่าจะถูกร้องเรียนให้ลบความคิดเห็นจนหมดเกลี้ยง ไปแล้วโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงก็ตาม แต่โชคยังดีที่ผมได้ทำสำเนาไว้ เกือบครบหมดทุกความคิดเห็นก่อนหน้าที่จะโดนลบรวมประมาณ 243 MB จึงได้ ตัดสินใจทำการเขียนใส่แผ่น CD ส่งถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยถึงที่ด้วยตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อม ทั้งแนบเอกสารข้อเท็จจริงอ้างอิงประกอบกระทู้ที่ตั้งต่าง ๆ หลายฉบับด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น หนังสือที่ส่งให้สคบ.หลังจากการเจรจาไกล่เกลี่ยที่ไม่ เป็นผลกับธนาคารกสิกรไทยเมื่อวันที่ 11-02-53 ข้อมูลการประเมินที่ต่ำ กว่าความเป็นจริงมากของบริษัทประเมินทรัพย์สิน PROGRESS APPRAISAL หนังสือ ตอบจากสมาคมธนาคารไทยกรณีการหักเงิน 50-100 บาท โดยมีเจตนาจะล้างบัญชีอย่างไม่เป็นธรรม หนังสือการเอาเปรียบด้านการ ประเมินค่าประกันอัคคีภัยล่าสุด 2 ครั้ง หนังสือรายละเอียดข้อมูลที่ส่ง ให้กับบริษัทข้อมูลเครดิตในรอบปีที่ผ่านมา ที่แสดงยอดคงเหลือ ณ สิ้นเดือน บัตรเครดิตกสิกรไทย มากกว่าจริงเท่าตัว โดยไม่ทราบเหตุผล ฯลฯ นอก จากนี้ผมยังได้ทำหนังสือร้องเรียนเพิ่มเติมถึงผู้ว่าการฯ ด้วยอีกฉบับหนึ่งเพื่อทวงคำตอบจากท่าน ตามหนังสือที่ได้ร้องเรียนก่อน หน้านี้ให้ตรวจสอบกรรมการบริหารธนาคารกสิกรไทยเมื่อวันที่ 23-12-52 โดย อ้างกระทู้ที่ตั้งในเว็บข่าวสนุกประกอบการร้องเรียนเหมือนเช่นการร้องเรียน ในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เซ็นรับเรื่องไว้เป็นที่เรียบร้อย ส่วนเจ้าหน้าที่ท่านใหม่ที่รับเรื่องแจ้งให้ทราบว่า ได้ติดต่อนัดกับทาง ธนาคารให้มาร่วมเจรจา 3 ฝ่าย คล้ายที่ได้ทำที่สคบ.แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ โดย ให้สัญญาว่าจะให้คำตอบในวันที่ 17 นี้ เพื่อกำหนดวันนัดที่แท้จริงอีกทีหนึ่ง (หวังว่าจะไม่เหมือนครั้งที่แล้ว) ส่วน สาเหตุที่ทางแบงค์ชาติไม่ตอบหนังสือที่ร้องเรียนทั้ง ๆ ที่ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เจ้าหน้าที่ท่านนี้ไม่สามารถตอบได้ (ปกติควรจะ ต้องมีคำตอบให้ใน 15 วัน แม้ว่าจะโทรทวงถามคำตอบทุกอาทิตย์ แต่ก็มีแต่ การปัดโยนไปโน่นนี่แทน)
ในครั้งนี้ ผมขออนุญาตโพสต์เพื่อประกาศแจ้งให้เพื่อนสมาชิกทราบอย่างเป็นทางการ แต่ ไม่ปรารถนาจะโต้ตอบหรือโพสต์ข้อความเพิ่มโดยไม่จำเป็นแต่อย่างไร เพราะ เกรงว่ากระทู้อาจจะโดนลบหรือล็อกอีกโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอและไม่เป็นธรรมดัง เช่นครั้งก่อน (ลบเฉพาะความคิดเห็นผู้ตั้งกระทู้ แต่คงความคิดเห็นของผู้อ่านไว้)กระทู้โปรดที่ โพสต์ถึงวันที่ 27-02-53
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
|
ผมขอยกตัวอย่าง จากกระทู้นี้และข่าวไทยรัฐมาแสดงให้คุณ สู้ ๆ ค่ะ ได้เห็น ว่ามีคนเกลียดชังอภิสิทธื์มากมายเพียงใด
6 วัน 63 ล้านความหมาย ..สรุปว่า "อ่วม" http://www.prachataiboard1.info/board/id/51479 Wed, 07/07/2010 - 07:50 | by สายลม รัก(1) | Report topic
แหล่ง ข่าว ที่เป็นข้าราชการพลเรือนแต่(แอบแดง)ประจำสำนักนายกฯ...
ผู้ที่ มีหน้าที่สนอง Need ความต้องการสร้างภาพ
ในโครงการ 6 วัน 63 ล้านความหมาย......ได้แจ้งข่าวเล็ก ๆ มาให้ผมแซบว่า
โครงการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายก และลูกน้องอีก 2-3 นาง แอบหัวเราะกันคิก ๆ แล้วสรุปในใจว่า "อ่วม"
ซึ่งการจัดทำโคงการดังกล่าว ได้มีการเกณฑ์ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ดารา นักร้อง และนักการเมือง มาฟังความต้องการของประชาชน
"ทั้ง ๆ ที่เขาก็มาบอกความในใจก่อนหน้านี้แล้วเป็นแสนเป็นล้าน กลางถนนราชดำเนินเต็มพรืดไปจนถึงลานพระรูป"
"ดัน***ไม่ฟัง ***จะฟังทางโทรศัพท์ ให้มันเปลืองเงินภาษีซะงั้น.. "
หรือว่าสิ่งที่ ประชาชนบอกเป็นสิ่งที่่ไม่อยากฟัง....
หรือฟังแล้วมันแสลงใจ กรูเลยต้องฆ่าพวกมันซะ
----------------------------------------------------------------------------------------
ผล ปรากฏว่า กระบวนกาีรสร้างภาพ 6 วัน 63 ล้านความหมาย
จากฝีมือของ ลูกกรอกคะนองฤทธิ อันลือลั่นมาจาก การถ่ายทอดร้องเพลงชาติตอนเย็นทำให้คนไทยรักกันมากขึ้น (ไม่รู้เอาสมองส่วนไหนคิด หรือว่ามันเตี้ยเกินไป เลยทำให้ระดับมันสมองที่อยู่เหนือพื้นดินไม่มาก เลยต่ำลงไปด้วย)
ผล ปรากฏว่า แต่ละคน แต่ละ วงการ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ต่างให้ข่าวส่วนตัวอันน้อยนิดออกมา (ถ้าเป็นบ้าน ๆ เขาเรียกนินทา) ไปในทางเดียวกันว่า "หูชา" กันทั่วหน้าโดยมิได้นัดหมาย.....
เพราะ ประชาชนโทรมา ด่า สาบแช่ง ขับไล่ เป็นจำนวนมาก
ข่าวแว่ว ๆ จากเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงาน ออกมาว่า ดาราบางคนบ่นพึมพำว่า "รู้งี้ไม่มาหรอก ให้มานั่งฟังคำด่าอยู่ได้ ถ้ามีโครงการแบบนี้อีก อย่าหวังจะมาอีก"
ผลสะท้อนความรักความเข้าใจของประชาชนที่มีต่อ รัฐบาลช่าง แจ่มแจ้ง แดงแจ๋....
นี่ดีนะแค่ 6 วัน ถ้ายืดไปซัก 1 เดือนหละก็
อาสาสมัครถอยกรูด ไม่เหลือซักรายแน่ เพราะที่มา ๆ หนะ ต้นสังกัดบังคับส่งมาทั้งน้านนนนนนนนนนน
----------------------------------------------
แหล่ง ข่าว ยังได้แจ้งออกต่อมาอีกว่า งานนี้ ลูกกรอกคะนองฤทธิ ค่อนข้า่งผิดหวัง
เพราะ มันไม่คิดว่าประชาชนจะโกรธเกลียดรัฐบาลจนโทรมาด่าได้ "มากขนาดนี้" ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
วิลลี่-หอย'หูชา รับสายด่วน ถูกฝากไล่รัฐบาล http://www.thairath.co.th/content/pol/93991
"วิลลี่–เสนาหอย" หน้าเจื่อน มาช่วยรับโทรศัพท์สายด่วนสร้างความปรองดอง ถูกชาวบ้านโทรมาบ่น-ด่าการทำงานรัฐบาลจนหูชา เผยมีฝากไล่รัฐบาลให้ไปตาย ด้าน "พรทิวา" คุยฟุ้งประชาชนยังให้กำลังใจ...
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล บรรยากาศโครงการ "6 วัน 63 ล้านความคิด ร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย" เพื่อรับฟังความเห็น ข้อเสนอแนะจากประชาชนในการปฏิรูปประเทศไทยนั้น ยังคงมีรัฐมนตรี ศิลปิน ดารา มาร่วมรับสายโทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้ มีนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, วิลลี่ แมคอินทอช และ "เสนาหอย" เกียรติศักดิ์ อุดมนาค พิธีกร ดารายอดนิยมตลอดจนคณะนางสาวไทย และดีเจคลื่นซี้ด (SEED) เดินทางมาร่วมรับสายโทรศัพท์
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ภายหลังการรับโทรศัพท์ วิลลี่ แมคอินทอช และเสนาหอย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ว่า "โดนด่าจนหูชา ส่วนใหญ่โทรศัพท์มาต่อว่าการทำงานของรัฐบาล บางสายพูดสั้นๆว่า ฝากบอกรัฐบาลด้วยว่า ไปตายซะ"
ขณะที่นางพรทิวา กล่าวว่า เท่าที่ได้รับโทรศัพท์รับฟังความเห็นจากประชาชน ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องการทำกิน และหนี้นอกระบบ โดยในส่วนของหนี้นอกระบบนั้นแม้ว่าภาครัฐจะเปิดให้มาลงทะเบียน แต่ประชาชนอยากให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) มารับผิดชอบมากกว่าธนาคารออมสิน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาค่าครองชีพ เงินเดือนไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็มีประชาชนบางส่วนโทรศัพท์มาให้กำลังใจรัฐบาลด้วย และบอกว่าอยากให้อยู่นานๆ.
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ต้องโหดร้ายขูดรีดเอาเปรียบได้เลวสุด ๆ อย่างนี้สินะ จึงชนะได้เป็นผู้ว่าแบงค์ชาติ! http://webboard.news.sanook.com/forum/3163012(ตอบข้อความของคุณ 000001? ที่ถูกลบไป เกี่ยวกับสังคมที่เละเทะกันทั้งนั้น และเรื่องการเกิดมาคนละชั้นกัน ?) ผมว่าคนเราควรมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันครับ ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ทุกคนมีสิทธิ 1 เสียงเท่าเทียมกัน ในศาสนาพุทธก็ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นเช่นศาสนาพราหมณ์ คนวรรณกษัตริย์หากบวชทีหลังคนวรรณะศูทร ก็ต้องไหว้พระที่บวชก่อน ทั้งนี้เพื่อทำลายทิฏฐิมานะความดื้อดึงถือตัวถือตนที่เป็นกิเลสหรือสนิมในใจเบื้องต้นทิ้งให้ได้ก่อน สิ่งสำคัญคือหากเป็ฯมนุษย์ที่แท้จริง ก็ควรมีจิตใจสูงสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน จริงไหมครับ หากทำตัวเลวชาติเช่นสัตว์หรือแย่ยิ่งกว่าสัตว์ เขาก็เปรียบเช่นพวกตกอยู่ใต้อบายภูมิ 4 มีจิตใจเร่าร้อน ต่อให้อยู่บนกองเงินกองทอง ปราศจากความสงบสุขอย่างแท้จริง ฉะนั้นคนเราเกิดมาควรเคารพนับถือกันที่การเป็นคนดีมีศีลธรรมเป็นหลักจะดีกว่า [พจนานุกรม [อะบายยะพูม] น. ภูมิที่เกิดอันปราศจากความเจริญ มี ๔ คือ นรก เปรตวิสัย อสุรกายภูมิ และกําเนิดดิรัจฉาน. (ป., ส. อปาย).] คติ ๘ ภาษาคน-ภาษาธรรม http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/language30.html คติทั้ง ๘ นี้ ก็มีพูดอย่างภาษาคน หรือภาษาสมมติของชาวบ้าน นั้นอย่างหนึ่ง เมื่อพูด ภาษาธรรมของนักปราชญ์ของผู้รู้ โดยแท้จริงนั้นก็อีกอย่างหนึ่ง
ของ ๘ อย่างนี้ ถ้าพูดอย่าง ภาษาชาวบ้าน ที่เขาพูดทางศีลธรรม ชักชวนให้กลัวบาปกลัวกรรม ตามแบบของชาวบ้านนั้น เขาก็พูด เป็นบ้านเป็นเมืองเป็นโลก
นรก ก็คือเมืองนรก อยู่ข้างใต้ลงไปนี้ ร้อนเป็นทุกข์.
เดรัจฉาน คือ โลกของสัตว์เดรัจฉาน: วัว ควาย ช้าง ม้า เป็ด ไก่.
เปรต คือ สัตว์ที่ผอมโซ เพราะความหิว เจ็บป่วย ร่างกายเปื่อยเน่า ผุพัง นี่เป็นพวกเปรต อยู่ในโลกที่มองเห็นได้ยากเหลือเกิน เพราะ ไม่มีร่างกายที่ดูได้ง่ายๆ.
อสุรกาย คือ พวกที่ไม่เห็นตัวเลย ซ่อนตัวได้มิดชิด ไม่มีใครเห็นตัว เรียกว่า อสุรกาย นี้ภาษาชาวบ้านพูด แล้วเขียนรูปภาพตามผนัง โบสถ์เป็นอย่างนี้.
แต่ว่า ภาษาธรรม นั้น หมายอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นสภาพ เป็นภาวะ- ทางจิตใจ เพราะเป็นภาษาจิตใจ ก็ชี้ไปยังภาษาของจิตใจ หรือภาวะทางจิตใจ
นรก นี่คือ ภาวะที่กำลังร้อนใจ เป็นไฟเผาลน อยู่ในตัวคน
เดรัจฉาน คือ ความโง่ ที่มีอยู่ในตัวคน เพราะ สัตว์เดรัจฉาน นั่นคือ โง่ ความโง่ นั้นมาอยู่ในตัวคน โลกเดรัจฉาน มาอยู่ในใจคน ในตัวคน
เปรต คือ ความทะเยอทะยาน ความหิว ด้วยกิเลสตัณหา ในนั่นในนี่ ในกามารมณ์ หรือ ในความหวัง อะไรก็ตาม หวังจนนอนไม่หลับ หิวจนนอนไม่หลับ เปรียบเหมือนกับว่า มีปากเท่ารูเข็ม มีท้องเท่าภูเขา มันจะกินเข้าไปให้ทันได้อย่างไร มันก็หิวเรื่อย.
อสุรกาย คือ ความกลัว ความกลัวเป็นปัญหาใหญ่ รบกวนจิตใจ เหลือเกิน นี่คือ อสุรกาย หรือ โลกของอสุรกาย ที่มันอยู่ในใจคน
นี่พูดอย่างภาษาผู้รู้ ทั้ง ๔ อย่างนี้ ทุคติทั้ง ๔ อย่างนี้ มีอยู่ในคน อยู่ในจิตใจของคน เมื่อพูดอย่างที่ชาวบ้านพูด คือ ชาวบ้านเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ไม่ได้ ก็เลยพูดให้มันเป็นวัตถุ เป็นโลกทางวัตถุขึ้นมา โลกนรก โลกเดรัจฉาน โลกเปรต โลกอสุรกาย อยู่ที่นั่นที่นี่ ทิศนั้นทิศนี้ มีอาการอย่างนั้นอย่างนี้
โดยเฉพาะ โลกนรกอยู่ข้างล่าง ข้างใต้สุดลงไป มีหลายชนิด เหมือนกัน นรกล้วนแต่ร้อน ล้วนแต่เจ็บปวด คือเดือดร้อนทั้งนั้น มันก็คือ คติที่จะต้องไปหรือการไป ไปสู่โลกนรกไปสู่โลกเดรัจฉาน ไปสู่โลกเปรต ไปสู่โลกอสุรกาย นี้ก็ต้องถือว่าผิด ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครปรารถนา ที่ไป ๔ แห่ง นี้เป็นทางผิด เรียกว่า ทุคติ.
ทีนี้ สุคติ ความเป็นมนุษย์เป็นเทวดา ๓ ชนิด รวมกันเป็น ๔ ชนิดนี้ เขาเรียกว่า สุคติ ยังน่าไป หรือ มันชวนให้ไป.
สำหรับความเป็นมนุษย์ นี้ พูดตรงกัน คือในโลกอย่างมนุษย์นี้ แต่ภาษาชาวโลกภาษาโลก เอาตัวแผ่นดินโลกนี้ เอาตัวคนที่สักว่า เป็นคนนี้ เป็นมนุษย์โลก แต่ภาษาธรรมะ เขาเอาความหมาย หรือ คุณสมบัติของความเป็นคน ว่าเป็นมนุษย์ ว่าเป็นคน
อย่างเมื่อคุณบวช ถูกถามว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่า นี่มีความหมายพิเศษ เห็นอยู่โต้งๆ ว่า รูปร่างเป็นมนุษย์ ทำไมยังถามว่า เป็นมนุษย์หรือเปล่า? ข้อนี้เล็งไปถึง คุณสมบัติอย่างมนุษย์ ความรู้สึกอย่างมนุษย์ ความต้องการอย่างมนุษย์ คุณมีหรือเปล่า? นั่นแหละ คือ ความเป็นมนุษย์ มนุษย์ในภาษาธรรม มันหมายถึงอย่างนี้ ไม่ใช่ หมายถึง เกิดมามีรูปร่างอย่างนี้ หรือว่าอยู่ในโลกนี้.
ทีนี้ เทวดาในกามโลก ตามภาษาคน ก็มีข้างบน เป็นสวรรค์ เป็นวิมาน มีเทวบุตร มีนางฟ้า มีพระอินทร์ อะไรก็แล้วแต่ คือว่า เป็นกลุ่มของสัตว์ที่ สนุกสนาน สบาย สวยสด งดงาม อะไรนี่ นี่ภาษาโลกๆ ภาษาคน ภาษาธรรมะ ภาษาของสติปัญญา ก็คือว่าภาวะที่กำลังสมบูรณ์ ด้วยกามารมณ์ คือของถูกอกถูกใจ ในเวลาใดเป็นอย่างนั้นเวลานั้น เรียกว่า เป็นสวรรค์ชั้นกามาวจร ในจิตใจของคนนั่นเอง เมื่อคนบางคน หรือว่า บางขณะก็ตาม เขามีโอกาสที่จะมี ความเพลิดเพลิน อยู่ด้วยกามารมณ์ เวลานั้น ขณะนั้น ที่นั้น เขาก็เป็นเทวดา ประเภท กามาวจร
เทวดาที่สูงขึ้นไป เป็น รูปพรหม นั้น เป็นเทวดาที่ไม่แตะต้อง กามารมณ์ อยู่ด้วยวัตถุ รูปธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บริสุทธิ์ เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งนั้น ภาษาคนก็พูดไว้เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง สูงขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปจากโลก อย่างที่เป็นอย่าง กามารมณ์นั้น แต่ถ้าเป็นภาษาจิตใจ ก็หมายถึง จิตใจในบางครั้ง มันเกลียด กามารมณ์ จิตใจสูง เกินกว่าที่จะไปรัก กามารมณ์ ในบางขณะ ของคนเรานี้ ภาวะจิตอย่างนั้น เรียกว่า รูปพรหม เป็นได้น้อยๆ ชั่วขณะก็ยังดี หรือ มันจะเป็น จนตลอดชีวิต ก็ได้ สำหรับบางคน อยู่ได้ด้วยความผาสุก ไม่เกี่ยวข้องกามารมณ์ จนตลอดชีวิต จะ อยู่ด้วย วัตถุสิ่งของ ที่เป็นที่พอใจ หรือว่า อยู่ด้วยสมาธิ ที่เกิด มาจาผมปธรรม ที่เป็นอารมณ์ สบายอยู่ด้วยสมาธิ อย่างนั้น ก็ เรียกว่า รูปพรหม
เทวดาอันสุดท้าย ก็เป็น อรูปพรหม คล้ายๆ กัน แต่ไม่เอาสิ่งที่มีรูป เป็นที่เพลิดเพลิน เอาสิ่งที่ไม่มีรูป เป็นนามธรรม ที่เกี่ยวกับสมาธิ หรือ สมาบัติ เขาเอาความว่างเปล่า ไม่มีอะไร เป็นอารมณ์ ของ สมาธิ แล้วจิตหยุดอยู่ด้วยความพอใจ ในความเป็นอย่างนั้น มันก็ สบายถึงที่สุด สูงสุดไปตามแบบของเขา
รวมความแล้วก็ว่า ถ้าพูดอย่างภาษาคน ภาษาชาวบ้าน ก็เป็นวัตถุ เป็นโลก เป็นบ้าน เป็นเมือง ทั้ง ๘ แห่งนี้ ถ้าพูดอย่าง ภาษาธรรม ภาษาจิตใจ ก็คือ ภาวะของจิตใจ ๘ ชนิด ที่มีอยู่ใน จิตใจของคน คนนี่ มันเป็น เหมือนกับ มิเดียม ตรงกลาง จะเปลี่ยนเป็นอย่างไร ก็ได้ ในที่สุด นับตัวเอง เข้าไปด้วย ก็เลยเป็น ๘ อย่าง ถ้าจะเอา ความหมาย ให้ชัดเจน เฉพาะมนุษย์ นี้ก็คือ มนุษย์นี่ต้อง ลำบาก พอสมควร เพื่อจะแลกเอา กามารมณ์ เอาสิ่งที่ตัวรัก ตัวชอบใจ .......
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
TimBerland คะแนนสะสม: 10 แต้ม ความคิดเห็น: 2
ต้องโหดร้ายขูดรีดเอาเปรียบได้เลวสุด ๆ อย่างนี้สินะ จึงชนะได้เป็นผู้ว่าแบงค์ชาติ! http://webboard.news.sanook.com/forum/3163012 ตอบ #31 เมื่อ: 19 ก.ค. 10, 08:05 น
มันก็จริงอย่างที่เค้าโพสแหละ แต่ไม่มีใครทำอะไร ได้ แบ็คเค้า หย่ายยย ****************************************************** jrchai คะแนนสะสม: 360 แต้ม ความคิดเห็น: 1,659
ต้องโหดร้ายขูดรีดเอาเปรียบได้เลวสุด ๆ อย่างนี้สินะ จึงชนะได้เป็นผู้ว่าแบงค์ชาติ! http://webboard.news.sanook.com/forum/3163012 ตอบ #32 เมื่อ: 19 ก.ค. 10, 17:01 น
ขอบคุณครับ คุณ TimBerland ที่มาร่วมแสดงความคิดเห็น เห็นด้วย คนหนุนหลังเขาจะใหญ่โตร่ำรวยลาภยศถาบรรดาศักดิ์มากมายปานใด ก็ไม่ใหญ่เท่าโลงศพ หรือรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างแน่นอน จริงไหมครับ คนก่อเวรสร้างบาปกรรมหนักหนาสาหัสากรรจ์เช่นนี้ จะอยู่หรือจะตาย ก็คงไม่พ้นเสียงก่นด่าสาปแช่งให้ตกนรกหมกอเวจีไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกต่อไป ผมว่าคนเลว ๆ เช่นนี้ เราต้องประณามต่อต้านให้มาก ๆ เผื่อจะลดความหน้าด้านลงได้บ้างก็ยังดี คุณว่าฉายาคนสารเลวเช่นนี้เหมาะสมดีแล้วหรือยัง
"จอมมารจอมโจรจอมกบฏคิดคดทรยศกดขี่ย่ำยีบีทากาลีบ้านกาลีเมือง"
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
กระดูกสันหน้าด้าน
|
ลูกค้าสินเชื่อขอย้ายธนาคาร เพราะดอกเบี้ยแพง พนักงานกสิกรไทย ใช้เวลาไถ่ถอน 6 เดือน ??????
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ขอบคุณครับ คุณ กระดูกสันหน้าด้าน ที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ผมว่าดอกเบี้ยทุกแบงค์ต่างก็เอาเปรียบลูกค้าประมาณ 1 % กันทั้งนั้นแหละครับ นายกรณ์พูดมาข้ามปีแล้วจากกระทู้ที่ตั้งข้างบนนี้ แต่แบงค์ก็ยังเอาเปรียบอยู่เช่นเดิม ส่วนใหญ่ลูกค้าต้องจำยอมเหมือนโดนมัดมือชกกันแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกค้าหน้าใหม่ ขนาดผมเป็นลูกค้าเก่า แต่หลงเชื่อใจแบงค์มากเกินไป ก็เลยโดนฟาดโอดีมากกว่าบัญชีเก่าอีก +1.75 มาแล้ว (บัญชีเก่า = MRR + 2 บวกอีก 1.75 = 3.75) แบงค์มักจะมีเล่ห์เหลี่ยมและเจ้าเล่ห์ ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน ก็ต้องโดนเอาเปรียบอย่างสุด ๆ ทุกรูปแบบ การที่คุณสามารถย้ายธนาคารได้ แสดงว่าคุณต้องมีข้อมูลที่ดีกว่ามาเปรียบเทียบ ถือว่าโชคดีไป ตอนนี้ผมกำลังขอแบงค์กสิกรไทยลดดอกเบี้ยสินเชื่อและโอดีอยู่เช่นกัน เพราะสถานะไม่ค่อยดีดังเดิม ผมต้องรอคอยคำตอบนานข้ามเดือนข้ามปีจนเบื่อมาก ๆ และไม่ค่อยอยากไปตามเรื่องอีกแล้ว รวมทั้งที่แบงค์ชาติด้วย สู้มาเขียนกระทู้ประจานแบงค์ในเว็บสนุกนี้เพื่อให้คนรับรู้มาก ๆ ดีกว่า ถือว่าเป็นการหาแนวร่วมและให้ความรู้ผู้อ่านด้วย เผื่อแบงค์และหน่วยงานที่ร้องเรียนได้เห็นได้อ่าน อาจจะลดความหน้าด้านลงได้บ้างหรือมีความละอายใจสักนิดก็ยังดี แต่ทำไมกสิกรไทยถึงทำเรื่องนานนักนะ ผมเองก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแบงค์ ก็เลยดูแล้วน่าสงสัยเช่นกัน
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
แบงก์ชี้เปรี้ยงขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าเงินเฟ้อ ประเทศชาติได้ประโยชน์ http://www.thairath.co.th/content/eco/98311
แบงก์ชาติสั่งรื้อค่าธรรมเนียมอิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้ง พร้อมสั่งสมาคมธนาคารไทยสำรวจความเห็น เก็บค่าธรรมเนียมถอนเงินสดโปะรายได้ที่หายไป ขีดเส้นตาย 4 เดือนต้องมีข้อสรุป…
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เรียกผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์เข้าหารือในเรื่องของการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม เรื่องของส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ (สเปรด) โดยการหารือเรื่องของการปรับโครงสร้างรายได้ค่าธรรมเนียม ธปท.ได้มอบหมายให้สมาคมธนาคารไทยไปศึกษาในระยะเวลา 3-4 เดือน โดยต้องให้มีการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมอิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้งใหม่ โดยกำหนดราคาให้เป็นที่จูงใจให้ใช้บริการ และประชาชนเข้าถึงการบริการให้มากที่สุด และที่สำคัญเรื่องค่าธรรมเนียมของเช็คและการโอนเงินข้ามเขต ต้องปรับใหม่หลังจากมาใช้อิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้ง พร้อมกับหารายได้ ค่าธรรมเนียมอื่นๆมาทดแทน
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้เงินสด ส่งผลให้มีต้นทุนการเงินสูง เทียบกับต่างประเทศที่ใช้อิเล็กทรอนิกส์แบงก์ เช่น บัตรเอทีเอ็ม บัตรเดบิต และบัตรเครดิต ขณะที่ในต่างประเทศ การบริการถอนเงินสดผ่านสาขาธนาคารจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ดังนั้น แนวทางธนาคารพาณิชย์ไทยต้องเดินตามรอยธนาคารต่างประเทศ ต้องพัฒนาไปสู่อิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้ง ดังนั้น เพื่อสร้างแรงจูงใจ ต้องปรับลดค่าธรรมเนียมลง ขณะที่การถอนเงินสดผ่านสาขาธนาคารต้องถูกคิดค่าธรรมเนียม เพื่อนำมาชดเชยรายได้ให้กับธนาคาร โดยธปท.มอบหมายให้สมาคมธนาคารไทยไปศึกษาความพึงพอใจของประชาชน ถ้าจะมีการเรียกค่าธรรมเนียมจากการถอนเงินสด และลดค่าธรรมเนียมอิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้ง ประชาชนมีความพึงพอใจหรือไม่
ขณะที่ในเรื่องของสเปรด ผู้บริหารระดับสูงสายนโยบายการเงิน และกำกับสถาบันการเงิน ธปท.ไม่ได้ติดใจ เพราะในขณะนี้เห็นว่าอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (Net Interest Margin : NIM) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการแข่งขันในการปล่อยสินเชื่อที่มีสูงขึ้น โดย NIM เทียบจากไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา กับไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ลดลงต่อเนื่อง เฉลี่ยอยู่ที่ 2.7% เมื่อเทียบกับภูมิภาคอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 2.9%
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ตัวเลข NIM ของธนาคารกรุงเทพ ในไตรมาส 2 ปี 53 ตัวเลข NIM อยู่ที่ 2.99% ปรับลดลงจากไตรมาส 2 ปี 52 ที่อยู่ระดับ 3.02% ขณะที่ธนาคารกรุง-ไทย NIM ไตรมาส 2 ปี 53 อยู่ที่ 2.74% ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 52 อยู่ที่ 3.02% (รายละเอียดตามตาราง)
ธนาคาร ไตรมาส 2 ปี 53 ไตรมาส 2 ปี 52 กรุงเทพ 2.99 3.02 กรุงไทย 2.74 3.02 กสิกรไทย 3.78 3.66 ไทยพาณิชย์ 3.62 3.30 กรุงศรีอยุธยา 4.87 3.98 ทหารไทย 3.30 3.50 นครหลวงไทย 3.14 3.20
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า จากการสอบถามนายแบงก์ ต่างเห็นในทิศทางเดียวกันว่า นโยบายการเงินที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม ผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่าเงินเฟ้อ จากปัจจุบันเงินเฟ้อ 3% ดังนั้น ดอกเบี้ยเงินฝากต้องสูงกว่า 3% เพื่อให้ผลตอบแทนของผู้ฝากเงินไม่ติดลบ ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ฝากเงินมีมากกว่าคนกู้เงิน รายได้ดอกเบี้ยที่ได้รับเพิ่ม สามารถเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ และทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ที่สำคัญทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังทำให้กลุ่มคนเกษียณอายุสามารถดำรงชีวิตที่ใช้ดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินออมมาดำรงชีวิต ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับขึ้นพร้อมกับดอกเบี้ยเงินฝากนั้น เชื่อว่าผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและแบกรับภาระที่ปรับเพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกัน เมื่อสเปรดของธนาคารปรับตัวลดลง เพื่อไม่ให้รายได้รวมของธนาคารลดลง ก็ควรปล่อยให้ธนาคารมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเป็นไปตามกลไกตลาด ธปท.ควรเข้าไปแทรกแซง เพราะค่าธรรมเนียมที่ธนาคารเรียกเก็บ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจะเป็นเพียงกลุ่มคนที่เข้าไปใช้บริการเท่านั้น
ด้านนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การปรับลดค่าธรรมเนียมต้องมีการหารือกับสมาชิกสมาคมว่าจะสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด และการเรียกเก็บในอัตราใดจึงจะเหมาะสม ขณะที่ในเรื่องของการลดสเปรดดอกเบี้ย ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
ขณะที่นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการแข่งขันในเรื่องของการระดมเงินฝากและปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้สเปรดของธนาคารพาณิชย์จะแคบลงเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น สินเชื่อบ้านปัจจุบัน มีการแข่งขันสูงมาก สเปรดของสินเชื่อประเภทนี้อยู่ที่ 2-3% ธนาคารพาณิชย์ต้องอาศัยรายได้ค่าธรรมเนียมมาชดเชยกับรายได้ที่หายไป ดังนั้น เรื่องของสเปรดควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด "นโยบายดอกเบี้ยต่ำ ประเทศไทยได้ใช้มาเป็นเวลานาน และเป็นการฝืนตลาดระยะยาว เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปกติต้องสูงกว่าเงินเฟ้อ แต่ช่วงที่ประเทศไทยใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ ช่วงนั้นเงินเฟ้อก็อยู่ในระดับต่ำเช่นกัน แต่เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยก็ยังอยู่ในระดับต่ำ ไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาด และขณะนี้ได้เริ่มปล่อยดอกเบี้ยให้ขยับขึ้น ดังนั้น เรื่องดอกเบี้ยต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ"
นายชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า ในเรื่องของรายได้ค่าธรรมเนียมนั้น ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ของไทยมีรายได้ค่าธรรมเนียมต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ยกตัวอย่างธนาคารพาณิชย์ในประเทศที่เจริญแล้ว สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมต่อรายได้รวมจะอยู่ที่ 50% ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของไทย มีรายได้ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 30% ส่วนธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและเล็กจะอยู่ที่ 20% หรือบางแห่งต่ำกว่า 20% ดังนั้น เรื่องของรายได้ค่าธรรมเนียม ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด หรือให้ตลาดเป็นตัวควบคุม ซึ่งหากธนาคารพาณิชย์แห่งใดคิดค่าธรรมเนียมในราคาสูง ก็สามารถไปหาธนาคารที่คิดค่าธรรมเนียมในผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในอัตราที่ต่ำ.
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย กับธนาคารแห่งประเทศไทย http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2006q2/2006june22p6.htm มองมุมใหม่ : รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2549
ลักษณะสำคัญของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยปัจจุบันคือ การรวมศูนย์อำนาจทางการเงินไว้ในมือของกลุ่มธนาคาร เพียงไม่กี่ตระกูล ดังจะเห็นได้ว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยใหญ่ที่สุด 5 แห่งรวมกัน มีส่วนแบ่งตลาดเงินฝาก และเงินกู้สูงมากที่สุด รวมทั้งมีอำนาจชี้นำในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ของทั้งระบบได้ค่อนข้างเบ็ดเสร็จ
ผลก็คือปัจจุบันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับเงินฝาก ได้ถ่างกว้างมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดี (MLR) กับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน มีช่องว่างถึง 4.25% ที่น่าตกใจคือ เงินฝากบัญชีออมทรัพย์ซึ่งมียอดสูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40% ของเงินฝากธนาคารทั้งหมด กลับได้รับอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% และถูกกดให้อยู่ในระดับนี้มานานถึง 3 ปี แม้ว่าเศรษฐกิจไทยได้ฟื้นและขยายตัวดีมาโดยตลอด
รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ก็ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไประลอกแล้วระลอกเล่าก็ตาม ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR กับอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ถ่างกว้างมากอย่างไม่น่าเชื่อถึง 6.75% ที่สำคัญคือ ผู้มีเงินฝากบัญชีออมทรัพย์ส่วนใหญ่ก็คือ ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กที่มีเงินออมไม่มาก
ต้นเหตุของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมโหฬารดังกล่าวคือ ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีนโยบายจำกัดการแข่งขัน ในระบบธนาคารพาณิชย์ กีดกันไม่ให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาให้บริการ เป็นผลให้ธนาคารพาณิชย์ไทยเดิม กลายเป็นกลุ่มผูกขาด หรือ "แบงกิ้งคาร์เทล" ประชาชน และธุรกิจทั่วประเทศไม่มีทางเลือกอื่น แต่จำต้องใช้ธนาคารพาณิชย์เหล่านี้ เป็นแหล่งออมเงินและแหล่งเงินกู้หลัก
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ถ่างกว้างมโหฬารเช่นนี้ก็คือ การโอนรายได้ของประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ ไปเป็นกำไรผูกขาดของกลุ่มธนาคารไม่กี่ตระกูลภายใต้นโยบายปกป้องคุ้มครอง "แบงกิ้งคาร์เทล" ของ ธปท. นั่นเอง และที่สำคัญ นโยบายดังกล่าวยังมีผลทางลบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาวอีกด้วย
เบื้องหลังอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ก็คือ "อัตราดอกเบี้ยจริง" ซึ่งเป็นผลตอบแทนจากการใช้ปัจจัยทุน (เช่น อุปกรณ์ เครื่องจักร โรงงาน) ไปผลิตสินค้าบริการสนองความต้องการของตลาด ระดับของอัตราดอกเบี้ยจริงนี้ขึ้นอยู่กับ ปริมาณปัจจัยทุนทั้งใหม่และเก่า และระดับเทคโนโลยีที่มีอยู่ รวมทั้งผลิตภาพของปัจจัยทุน เหล่านี้กำหนดขึ้นเป็นอัตราผลตอบแทน ซึ่งก็คือ อัตราดอกเบี้ยจริง
แต่การลงทุนในระบบทุนนิยมสมัยใหม่ มักจะเป็นโครงการใหญ่ใช้เงินทุนสูง ผู้ลงทุนจึงต้องการแหล่งเงินออมเพื่อกู้มาลงทุน โดยผู้ลงทุนจ่ายดอกเบี้ยเป็นการตอบแทนแก่ผู้ออม และหากผู้ออมและผู้ลงทุนตกลงกันได้โดยไม่มีคนกลาง อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ลงทุนจ่ายและอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออมได้รับจะเท่ากัน คือไม่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
ในความเป็นจริง มีผู้ออมและผู้ลงทุนหลายสิบล้านรายทั่วประเทศ จึงต้องมีสถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารพาณิชย์ ทำหน้าที่เป็นคนกลาง และเนื่องจากธนาคารพาณิชย์ก็เป็นกิจการให้บริการเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ จึงต้องมีการลงทุนและได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนของตนเช่นกัน
ถ้าระบบธนาคารพาณิชย์มีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และต้นทุนต่ำกว่า สามารถเข้ามาแข่งให้บริการได้โดยไม่มีอุปสรรค ก็จะมีการแข่งขันกันเสนออัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ออมและผู้กู้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก มีส่วนต่างแคบ คือเพียงพอที่จะชดเชยต้นทุนธุรกิจธนาคาร บวกอัตราผลตอบแทนปกติเท่านั้น
แต่ในประเทศไทย ธปท.ปิดกั้นการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายใหม่ ไม่มีการแข่งขันเสนออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินออม และเงินกู้ แต่กลับมี "แบงกิ้งคาร์เทล" ที่รู้กันเป็นนัยๆ กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้ต่ำ และอัตราเงินกู้ให้สูงกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจึงได้ถ่างกว้างดังที่เป็นอยู่
ผลกระทบเกิดขึ้นทั้งสองด้านคือ
ด้านหนึ่ง ประชาชนผู้ออมเงินมีแรงจูงใจในการออมน้อยลง มูลค่าการออมทั้งระบบลดลงและกลับมีการบริโภคมากขึ้น ผลกระทบระยะยาวก็คือ ประชาชนจะมีทรัพย์สินและรายได้ในอนาคตน้อยลง ในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนและธุรกิจผู้กู้เงิน ต้องแบกรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น มีแรงจูงใจในการลงทุนในปัจจัยทุน เช่น เครื่องจักรอุปกรณ์และโรงงาน น้อยลง ผลกระทบก็คือ ระบบเศรษฐกิจไทยมีการสะสมทุนและการเพิ่มผลิตภาพน้อยกว่าที่ควร เป็นการถ่วงรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
นโยบายจำกัดการแข่งขัน ของ ธปท. และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ถ่างกว้างในปัจจุบัน ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาโครงสร้างการออม- การลงทุนของเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน เพราะการออมมวลรวมของประเทศไทยมียอดประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท ต่อปี คิดเป็น 31% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แต่การออมส่วนหนึ่งเป็นการไหลออกไปสู่แหล่งลงทุนในต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในประเทศไทย เช่น
ตัวเลขล่าสุดปี 2546 ไทยมีเงินออมไหลออกไปต่างประเทศถึงกว่า 3 แสนล้านบาท คิดเป็น 5.5% ของจีดีพี ในทางตรงข้าม การลงทุนมวลรวมของไทยปัจจุบันมียอดประมาณ 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี ต่ำกว่าการออมมวลรวม แต่ถ้าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไม่ถ่างกว้างมากเช่นปัจจุบัน ยอดมูลค่าการลงทุนมวลรวมก็จะสูงกว่านี้ ซึ่งก็คือจะมีการใช้เงินออมภายในประเทศเพื่อการลงทุนมากขึ้น และจะมีเงินออมไหลออกน้อยลง
ดังนั้น นโยบายของผู้บริหาร ธปท. ที่จำกัดการแข่งขันและปล่อยให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยถ่างกว้างเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการโอนรายได้ของประชาชนไปยังกลุ่มธนาคารแล้ว ยังไปถ่วงรั้งการสะสมทุน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาวอีกด้วย
ถึงเวลาตั้งคำถามไปถึงผู้บริหาร ธปท.ว่า นโยบายจำกัดการแข่งขันในระบบธนาคาร เพื่อใคร?
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
เสื้อทอง
|
น่าสงสาร เหวงอยู่คนเดียว ....ชื่อกระทู้น่าติดคุกดีนะ
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ผมว่าคุณ เสื้อทองน่าจะมีความคิดเห็นเฉกเช่นผ้าขี้ริ้วนะครับ เมื่อไรจะตื่นเหมือนเพลงตื่นเถิดชาวไทยเสียทีหนา หากอยากรู้ให้ไปหาคลิปตาสว่างตามที่ผมแนะนำมาฟังซะ รับรองจะทำให้คุณหูตาสว่างกว่านี้อย่างแน่นอน
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
มาฟังข้อเท็จจริงจากจตุพร ฯลฯ นี้ดีกว่า เพื่อจะได้หูตาสว่าง คลิป MP3 การปราศัยใหญ่ ณ สวนสยาม 23-07-53 ที่ท่านควรทราบ ("อย่างน้อยที่สุดเราก็พอมีความชุ่มชื่นอยู่มั่ง เราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพราะ เราเป็นเจ้าของประเทศนี้เช่นเดียวกัน เราถูกกระทำอย่างอยุติธรรมที่สุด... เราเกิดมาชาติหนึ่ง เราควรจะอยู่ด้วยความจริง แม้ว่าเป็นความจริงที่ขมขื่น ความจริงที่ต้องแลกกลับมาซึ่งความตายและการสูญสิ้นอิสรภาพ แต่เราจะยอมจำนน มันเท่ากับว่า เราทำให้ความจริงสูญหายไป เราได้เกิดมาและได้ร่วมต่อสู้กัน เราไม่เสียชาติเกิดแล้วครับพี่น้องทั้งหลาย" จากคลิปการปราศรัยของจตุพร... นาทีที่ 52.18)*** MP3...การปราศัยใหญ่..ณ.สวนสยาม..งับๆๆ *** http://www.prachataiboard1.info/board/id/53232
Fri, 07/23/2010 - 22:55 | by ไทยสุริยะ | Report topic
http://www.mediafire.com/?sharekey=0ef815d36ac832687994be59d91b31fe1f3fee757fe7c32d0638535af86feadb6dd3d6%E2%80%8B8565fe9fd20b93e66a48a8792b ก่อแก้ว.17-07-2010 Created 07/17/2010 | 0 Folders, 11 Files
ก่อแก้ว.18-07-2010 Created 07/18/2010 | 0 Folders, 7 Files
ก่อแก้ว.23-07-2010 Created 07/23/2010 | 0 Folders, 16 Files
2010-07-23.145353.Tong-Dee.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 1.27 MB
2010-07-23.150724.Wurachai.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 1.94 MB
2010-07-23.153155.Chumpu.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 821.44 KB
2010-07-23.154456.Tirong.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 1013.81 KB
2010-07-23.155415.chwalis.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 1.99 MB
2010-07-23.190446.Sunai.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 3.51 MB
2010-07-23.193925.Podpasom.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 1.96 MB
2010-07-23.195744.Jirayut.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 1.44 MB
2010-07-23.201217.Sunee.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 4.2 MB
2010-07-23.205144.Pischai.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 444.19 KB
2010-07-23.205558.Prompong.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 1 MB
2010-07-23.210621.Thitima.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 1.04 MB
2010-07-23.211635.Vichaan.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 2.85 MB
2010-07-23.214631.Apivan.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 4.24 MB
2010-07-23.222522.Jatupong.mp3 Uploaded 07/23/2010 | 6.59 MB
2010-07-23.Charlame.wav Uploaded 07/23/2010 | 4.79 MB
prev next Showing items 1 through 16 out of 16 in this folder
char.2010-07-16..mp3 Uploaded 07/16/2010 | 5.03 MB
JJ.2010-07-16.210108.mp3 Uploaded 07/16/2010 | 5.97 MB
kasin.2010-07-16..mp3 Uploaded 07/16/2010 | 956.16 KB
kokeaw.2010-07-16..mp3 Uploaded 07/16/2010 | 556.78 KB
pom.2010-07-16.200056.mp3 Uploaded 07/16/2010 | 2.49 MB
raka.2010-07-16.193859.mp3 Uploaded 07/16/2010 | 1.62 MB
sura.2010-07-16..mp3 Uploaded 07/16/2010 | 1.37 MB
vichar.2010-07-16.202438.mp3 Uploaded 07/16/2010 | 3.89 MB
vorawut.2010-07-16..mp3 Uploaded 07/16/2010 | 1.99 MB
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
มือถือสากปากถือศีล
|
มาฟังข้อเท็จจริงจากจตุพร ฯลฯ นี้ดีกว่า เพื่อจะได้หูตาสว่าง คลิป MP3 การปราศัยใหญ่ ณ สวนสยาม 23-07-53 ที่ท่านควรทราบ
คุณได้ใช้หลักกาลามสูตรหรือยัง
แค่การปราศัย ก็ทำให้คุณเชื่อไปหมด อย่าลืมใช้หลักธรรมะ ช่วยให้ประเทศกลับสู่ความสงบด้วย ไม่ใช่ก่อกวนความสงบ มือถือสาก ปากถือศีล
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|