Mainstream Renewable Power ("Mainstream" หรือ "บริษัท") ผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำของโลก แถลงงบการเงินที่สอบทานแล้วสำหรับงวด 12 เดือน สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ("งวด") ดังนี้
ข้อมูลสำคัญ
ด้านการเงิน – ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับบริษัท
- มีกำไร 487.5 ล้านยูโร (เทียบกับขาดทุน 5.5 ล้านยูโรในปี 2560) หลังจากประสบความสำเร็จในการขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Neart na Gaoithe ขนาด 450 MW ในสกอตแลนด์ให้แก่ EDF Group
- ชำระคืนหนี้ครบทั้งหมดแล้ว (73 ล้านยูโร)
- ได้รับเงินกู้ทางการค้าวงเงิน 90 ล้านยูโรจาก DNB Bank ASA และ HSBC Bank PLC ซึ่งสามารถขยายเป็น 200 ล้านยูโร โดยขึ้นอยู่กับข้อตกลง ซึ่งทำให้บริษัทสามารถแสวงหาโอกาสในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ๆ ได้ทั่วโลก
- Mainstream เตรียมระดมทุนเพิ่มอีก 700-800 ล้านยูโร เพื่อนำไปสนับสนุนโครงการในปี 2562
- บริษัทจะกลับไปใช้โครงสร้างการถือครองหุ้นหลัก โดยเป็นการถือครองแบบส่วนบุคคลโดย Eddie O'Connor ผู้ก่อตั้ง รวมถึงพนักงานและนักลงทุนรายย่อยจำนวนไม่มาก หลังการซื้อคืนของผู้ถือหุ้นสถาบันในเดือนกันยายน 2561
ด้านการดำเนินงาน – ส่งมอบกระแสไฟฟ้ามากกว่าผู้พัฒนาอิสระรายอื่น ๆ ได้อย่างยั่งยืน
- อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่มีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ามากกว่า 10.5 GW
- อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 707 MW
- โรงไฟฟ้าเริ่มเปิดดำเนินการแล้วคิดเป็นกำลังการผลิต 804 MW
- ติดอันดับ A- (กลุ่มผู้นำ) จาก Carbon Disclosure Project
- หลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซ (CO2) สุทธิ 998,340 ตันในปี 2560
- ขยายธุรกิจเพื่อให้สอดรับกับโครงการทั่วโลก โดยเปิดสำนักงานใหม่ในเอดินเบอระ โคลอมเบีย สิงคโปร์ และออสเตรเลีย
แนวโน้ม – พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทนรายใหญ่ระดับโลก
- Mainstream มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะขับเคลื่อนการขยายธุรกิจและการเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดหลักทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ลาตินอเมริกา และแอฟริกา รวมทั้งในภาคธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทั่วโลก
ลาตินอเมริกา:
- ขึ้นแท่นผู้พัฒนาพลังงานทดแทนรายใหญ่ที่สุดในชิลี ด้วยทีมงานที่แข็งแกร่งจำนวน 100 คน
- เร่งผลักดันโรงไฟฟ้า Andes Renovables ขนาด 1.3GW เข้าสู่การดำเนินการเชิงพาณิชย์ในระหว่างปี 2564-2565
- อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการ Sarco และ Aurora ในชิลี (ขนาด 299 MW) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจร่วมทุนกับ Actis (Aela Energ?a) โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562
- ฟาร์มกังหันลม Cuel Wind Farm ขนาด 33 MW ดำเนินการเชิงพาณิชย์มา 5 ปีแล้ว
เอเชียแปซิฟิก:
- เป็นพันธมิตรกับ Phu Cuong Group เพื่อก่อสร้างฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง Phu Cuong Soc Trang Offshore Wind Farm ขนาด 800 MW ในเวียดนาม ซึ่งจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย และคาดว่าจะบรรลุข้อตกลงทางการเงินสำหรับเฟสแรกในปี 2563
- ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาด 1GW ในเวียดนาม กัมพูชา และลาว
- พัฒนาฟาร์มกังหันลม 2 แห่งในฟิลิปปินส์ โดยมีกำลังผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 120 MW
นอกชายฝั่ง:
- Mainstream ได้จัดตั้งศูนย์ Offshore Center of Excellence ในเอดินเบอระ
- อยู่ระหว่างดำเนินโครงการต่าง ๆ ในสหราชอาณาจักร อินเดีย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา
แอฟริกา:
- อยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าขนาด 408 MW ซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าขนาด 250 MW ในแอฟริกาใต้ และโรงไฟฟ้าขนาด 158 MW ในเซเนกัล
- โรงไฟฟ้า Lekela Power (ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุนกับ Actis) มีโครงการเพิ่มเติมในอียิปต์ (250 MW ด้วยสัญญาซื้อขายไฟฟ้า) และกานา (150 MW)
แอนดี้ คินเซลลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท Mainstream กล่าวว่า "Mainstream มีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำการผลิตพลังงานทดแทนประเภทใหม่ ในขณะที่เม็ดเงินลงทุนเริ่มย้ายจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานยั่งยืนในอัตราที่รวดเร็วขึ้น
หลังจากปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งเราประสบความสำเร็จในการขายฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งในสกอตแลนด์ ทำให้เรามีงบดุลที่แข็งแกร่ง และไม่มีข้อจำกัดในการทำตามความต้องการของเราที่จะช่วยพัฒนาประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโต ผ่านทางการส่งมอบกำลังการผลิตพลังงานทดแทน
เรามีความพร้อมที่จะดำเนินการขยายธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญในตลาดหลัก ๆ ของเอเชียแปซิฟิก ลาตินอเมริกา และแอฟริกา รวมทั้งจะกลับไปลงทุนในธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่งของสหราชอาณาจักร ซึ่งเราเคยผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังลมนอกชายฝั่งได้ 3.45 GW
การกลับไปใช้โครงสร้างการถือครองกรรมสิทธิ์ที่เป็นแกนหลักของเราอีกครั้งนั้น หมายความว่าเราพร้อมที่จะสร้างการเติบโตและผลตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรมให้แก่ผู้ถือหุ้นในช่วงทศวรรษหน้า"