ผลสำรวจล่าสุดบ่งชี้ว่า งานประเภทเข้า 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น สัปดาห์ละ 5 วันอาจไม่มีอีกต่อไป
ซิกน่า อินเตอร์เนชันแนล มาร์เกตส์ ในเครือบริษัทซิกน่า (NYSE:CI) เผยแพร่ข้อมูลใหม่ล่าสุดจากการศึกษาผลกระทบทั่วโลกจากโควิด-19 หรือ Cigna COVID-19 Global Impact Study ซึ่งตอกย้ำว่าวัฒนธรรมการทำงานอาจเปลี่ยนไปอย่างถาวรเนื่องจากโควิด
งานวิจัยล่าสุดของซิกน่าซึ่งจัดทำขึ้นในเดือนมิถุนายน เป็นการติดตามสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลกช่วงเกิดการระบาดใหญ่ ซึ่งพบว่าผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลก 18% รู้สึกว่าชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพิ่มขึ้น 5% จากการสำรวจเมื่อเดือนเมษายน โดยตัวเลขดังกล่าวในเกาหลี สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นเป็น 38%, 26% และ 25% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มีผู้ตอบแบบสำรวจในจีนแผ่นดินใหญ่เพียง 5% เท่านั้นที่คิดเช่นนี้
งานวิจัยดังกล่าววัดระดับความเป็นอยู่ด้วยปัจจัยชี้วัดหลัก ได้แก่ ปัจจัยทางกายภาพ สังคม การเงิน ครอบครัว และการทำงาน, คะแนนสุขภาพและความเป็นอยู่, การติดตามประเมินสุขภาพเสมือนจริง และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชีวิตวิถีใหม่
งานประเภทเข้า 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น สัปดาห์ละ 5 วันอาจไม่มีอีกต่อไป
ผู้ตอบแบบสำรวจ 60% สามารถทำงานจากที่บ้านได้ในขณะนี้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อทัศนคติของผู้คนที่มีต่อวัฒนธรรมการทำงานในอนาคต
ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่ง (53%) ระบุว่า ในอนาคต พวกเขาต้องการทำงานจากที่บ้านอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเวลางาน โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นแตะ 67% ในสิงคโปร์, 56% ในสเปนและไทย และ 40% ในเกาหลี ขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบหนึ่งในสี่ (22%) ต้องการมากกว่านั้น โดยระบุว่าต้องการทำงานในออฟฟิศไม่เกิน 20% ของเวลางาน
ผลสำรวจเผยให้เห็นว่า ความต้องการทำงานที่ออฟฟิศเต็มเวลาอยู่ในระดับต่ำมากในขณะนี้ โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจไม่ถึงหนึ่งในสี่ (23%) ที่ต้องการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศเต็มเวลา ซึ่งความต้องการดังกล่าวมีระดับต่ำสุดในสิงคโปร์และไทย (17%) และจีนแผ่นดินใหญ่ (19%)
เจสัน แซดเลอร์ ประธานซิกน่า อินเตอร์เนชันแนล มาร์เกตส์ กล่าวว่า "การระบาดใหญ่ส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของเราอย่างมาก แม้ว่าออฟฟิศยังคงมีบทบาทสำคัญในแง่ของการสร้างวัฒนธรรมองค์กรและการทำงานร่วมกัน แต่ประสบการณ์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า การทำงานที่บ้านก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การทำงานที่บ้านมีความท้าทายหลายอย่าง และนายจ้างต้องคิดให้รอบคอบว่าจะสนับสนุนพนักงานที่ทำงานจากระยะไกลอย่างไร ด้วยการเช็กกับพนักงานเป็นประจำ"
ผู้คนกลัวติดเชื้อจึงเลี่ยงการทำงานในออฟฟิศและการเดินทางในชีวิตประจำวัน
การที่หลายบริษัทเริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิศได้สร้างความวิตกกังวลครั้งใหม่ในหมู่พนักงาน โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 42% รู้สึกกังวลว่าจะติดเชื้อโควิดจากการเดินทาง การประชุมต่อหน้า หรือการอยู่ในออฟฟิศร่วมกัน ความกังวลนี้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54% ในสิงคโปร์ และ 51% ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ลดลงเหลือเพียง 19% ในฮ่องกง อย่างไรก็ตาม ฮ่องกงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลังทำการสำรวจเสร็จสิ้นไปแล้ว
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจ 41% รู้สึกกังวลเกี่ยวกับมาตรการป้องกันในที่ทำงาน เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม และการสวมหน้ากากอนามัย โดยผู้ตอบแบบสำรวจในไทยและสิงคโปร์กังวลมากที่สุด (47%) ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจในนิวซีแลนด์มีความกังวลน้อยที่สุด (26%)
ความต้องการของพนักงานไม่ได้รับการเติมเต็มอย่างเพียงพอ
ผลสำรวจตอกย้ำว่า พนักงานต้องการความช่วยเหลือแตกต่างกันเมื่อต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ขณะเดียวกัน ความช่วยเหลือที่นายจ้างให้กับพนักงานในตอนนี้ก็แตกต่างกัน
นายจ้างส่วนใหญ่แสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจัง โดยผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่ง (52%) ระบุว่า นายจ้างมีการจัดหาผลิตภัณฑ์ป้องกันและฆ่าเชื้อให้พนักงาน เช่น หน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นแตะ 62% ในจีนแผ่นดินใหญ่, 58% ในไต้หวัน และ 55% ในสิงคโปร์และนิวซีแลนด์
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจ 60% ระบุว่า ต้องการให้นายจ้างช่วยออกค่าใช้จ่ายพิเศษ เช่น ค่าผลิตภัณฑ์ป้องกันและฆ่าเชื้อ รวมถึงค่าสาธารณูปโภคจากการทำงานที่บ้าน โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 73% และ 71% ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และสิงคโปร์ ซึ่งมีการใช้เครื่องปรับอากาศมาก ในทางตรงกันข้าม ผู้ตอบแบบสำรวจราวหนึ่งในห้า (19%) ระบุว่านายจ้างมีมาตรการที่เหมาะสมอยู่แล้ว โดยนายจ้าง 29% ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, 18% ในสิงคโปร์ และ 11% ในฮ่องกง ให้ความช่วยเหลือพนักงานในส่วนนี้
นอกจากนี้ การส่งเสริมสุขภาพจิตก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พนักงานต้องการ แม้ว่าผู้ตอบแบบสำรวจเกือบหนึ่งในสี่ (24%) ระบุว่านายจ้างส่งเสริมสุขภาพจิตอยู่ในขณะนี้ แต่ 50% ต้องการมากกว่านั้น โดยนายจ้างในนิวซีแลนด์ (40%) และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (34%) เป็นผู้นำในการส่งเสริมสุขภาพจิต เทียบกับนายจ้างเพียง 15% ในเกาหลี และ 16% ในฮ่องกง
คุณแซดเลอร์กล่าวเสริมว่า "ขณะที่ตลาดทยอยเปิดและพนักงานเริ่มกลับเข้าออฟฟิศ ผลสำรวจของเราแสดงให้เห็นว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างความคาดหวังกับความเป็นจริง และพนักงานคาดหวังให้นายจ้างอุดช่องว่างดังกล่าวด้วยการให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่จำเป็นอย่างเพียงพอ และเดินหน้าสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนกัน ในขณะที่เราเปลี่ยนผ่านไปสู่ชีวิตวิถีใหม่ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การตรวจเช็กกันและกันเท่านั้น แต่นายจ้างยังต้องยกระดับความเป็นอยู่ของพนักงานอย่างครอบคลุม โดยเน้นไปที่การลดและจัดการความเครียดและความวิตกกังวลของพนักงาน"
ซิกน่านำเสนอข้อมูลด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้นายจ้างและพนักงานสามารถตรวจเช็กและสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ทรัพยากรบุคคล และสุขภาพจิต รวมถึงแนวคิดสร้างสรรค์ในการติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และเพื่อนฝูง ตลอดจนแหล่งข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนจัดการความเครียดของตนเอง โดยนายจ้างสามารถดูข้อมูลได้ที่นี่ และพนักงานสามารถดูข้อมูลได้ที่นี่ นอกจากนั้นยังมีหลากหลายแนวทางส่งเสริมสุขภาพจิตฟรีบนเว็บไซต์ของซิกน่า
วิธีการศึกษา
การศึกษาผลกระทบทั่วโลกจากโควิด-19 เป็นการศึกษาต่อเนื่องซึ่งจัดทำโดยซิกน่าร่วมกับกันตาร์ ในระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2563 และจะดำเนินต่อไปตลอดปี โดยนับตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงขณะนี้ มีการสำรวจออนไลน์ทั้งหมด 16,843 ครั้งในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง เกาหลี นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ สเปน ไต้หวัน ไทย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
การศึกษานี้ดำเนินการโดยใช้แบบสำรวจออนไลน์ โดยผู้ตอบแบบสำรวจได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการออนไลน์และมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด นอกจากนั้นยังมีการกำหนดโควต้าอายุ เพศ และเมืองที่อาศัยตามสัดส่วนประชากรของแต่ละประเทศและดินแดน การตอบแบบสำรวจใช้เวลา 20-25 นาทีโดยไม่ต้องระบุตัวตน